Monday 17 February 2014

App Android ช่วยนับหน้า 7 หลัง 7 ระยะปลอดภัย

จากที่เราได้เคยเขียนอธิบายวิธีการคุมกำเนิดแบบการนับหน้า 7 หลัง 7 ไปก่อนหน้านี้แล้ว  อาจจะยังมีบางคนที่ยังนับกันไม่ถูกว่าเริ่มนับจากวันไหน หรือนับยังไง

วันนี้เราจะมาแนะนำแอ๊พพลิเคชั่นแอนดรอยด์ที่จะมาช่วยให้เราคำนวณระยะปลอดภัยหน้า 7 หลัง 7 ได้อย่างแม่นยำ ถูกต้อง และที่สำคัญคือใช้งานง่ายค่ะ  คลิกดาวน์โหลด App ที่ Google Play Store ที่นี่ด้านล่างเลยค่ะ

 หน้า 7 หลัง 7

เรามาดูหน้าตาและวิธีใช้ Application หน้า 7 หลัง 7 กันนะคะ

หน้า 7 หลัง 7

- เริ่มต้นที่ช่อง "วันแรกที่มีประจำเดือนครั้งล่าสุด" เราก็ใส่วัน เดือน ปี ไปค่ะ เช่นประจำเดือนครั้งล่าสุดเริ่มมาวันที่ 23 มกราคม 2557
- ช่อง "รอบเดือนของคุณ (วัน)" ใส่จำนวนรอบวันที่ประจำเดือนมาแต่ละครั้ง ยกตัวอย่างเช่นครั้งล่าสุดมาวันที่ 23 มกราคม 2557 และครั้งก่อนหน้านี้มาวันที่ 26 ธันวาคม 2556 ก็จะได้รอบเดือนของคุณในแต่ละครั้งเท่ากับ 28 วัน (ของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันได้ค่ะ แต่โดยปกติจะเป็น 28 วัน)
- สุดท้ายเราก็กดปุ่ม "คำนวณระยะปลอดภัย"  ก็จะได้ช่วงวันที่ระยะปลอดภัยหน้า 7 หลัง 7 ออกมาค่ะ

เห็นมั้ยค่ะ คำนวณง่ายนิดเดียวเองค่ะ ลองไปใช้ดูนะคะ สำหรับแอ๊พคำนวณหน้า7หลัง7 ^__^

Sunday 16 December 2012

ริดสีดวงทวารคืออะไร (What is Hemorrhoids ?)

          หลายท่านคงเคยได้ยินมาว่า ระบบขับถ่ายดีย่อมหมายถึงการมีสุขภาพดี ผิวพรรณผ่องใสตามไปด้วย แต่อุปสรรคที่สำคัญในการขับถ่ายที่เรารู้จักกันดี คือ โรคริดสีดวงทวารหนัก ซึ่งเป็นโรคของหลอดเลือดที่อยู่บริเวณปากทวารหนักที่โป่งพองขยายขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อที่ปากทวารหนัก และเมื่อเบ่งถ่ายอุจจาระที่ขับถ่ายออกมา หรือบางรายมีเลือดสดพุ่งออกมาขณะขับถ่ายอุจจาระ

          โดยทั่วไปผู้ป่วยจะไม่สามารถคลำพบก้อนเนื้อดังกล่าวได้ในระยะแรกของโรค แต่หากคลำพบว่ามีก้อนเนื้อหรือมีก้อนโผล่ออกมาจากปากทวารหนัก แสดงว่าอาการเริ่มทวีความรุนแรงแล้ว ส่วนมากจะพบในผู้ที่อายุ 45-65 ปี


ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค...
          1. พันธุกรรม 
          2. อาชีพ เช่น ผู้ที่ต้องยืนนาน ๆ
          3. เกิดจากโรคแทรกซ้อนของโรค เช่น ตับแข็ง ซึ่งจะมีอาการท้องมานในระยะสุดท้าย และเมื่อมีน้ำในช่องท้องมาก ๆ จะส่งผลไปกดการไหลเวียนเลือดในช่องท้อง เป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดดำไหลกลับเข้าช่องท้องได้ไม่ดีนัก
          4. ท้องผูก ต้องเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ
          5. ผู้หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการเพิ่มความดันในช่องท้อง การขยายตัวของเส้นเลือดที่ปากทวารหนักร่วมกับท้องผูก

สัญญาณอันตราย ชวนให้สงสัยว่าอาจเป็นริดสีดวงทวาร... 
          - เมื่ออุจจาระแล้วมีเลือดสด ๆ ไหลออกมาด้วย
          - คลำพบก้อนที่รูทวารหนัก

โรคนี้แบ่งเป็น 4 ระยะ 
          ระยะที่ 1 - คลำพบก้อนข้างในรูทวารหนัก
          ระยะที่ 2 - คลำพบก้อนที่รูทวารหนักเป็นบางครั้งและก้อนจะกลับเข้าไปทวารหนักได้เอง
          ระยะที่ 3 - พบก้อนโผล่พ้นปากทวารหนักออกมา และสามารถใช้นิ้วดันกลับเข้าไปได้
          ระยะที่ 4 - พบก้อนยื่นออกมา และใช้นิ้วดันกลับเข้าไปไม่ได้

การรักษา 
          1. รับประทานอาหารที่มีกาก เช่น ผักสด ผลไม้สด
          2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะเมื่อร่างกายเคลื่อนไหว ลำไส้ก็จะมีการเคลื่อนไหวและไปบีบให้อุจจาระมีการเคลื่อนตัวทำให้ขับถ่ายสบาย
          3. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อให้อุจจาระมีน้ำอุ้มอยู่ ส่งผลให้อุจจาระนุ่ม

ข้อควรทราบ.... 
          1.โรคริดสีดวงทวาร ไม่ใช่สาเหตุของโรคมะเร็งทวารหนัก
          2.โรคริดสีดวงทวาร มี 2 ชนิด คือ “ชนิดภายใน” และ “ชนิดภายนอก”
          3.การรักษาโดยการผ่าตัดไม่ค่อยมีความจำเป็น เพราะโดยทั่วไปโรคนี้เพียงปฏิบัติตนตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ อาการก็จะทุเลาในเร็ววัน
          4.ถ้าถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็น “โรคมะเร็งปากทวารหนัก” ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว
          5.ถ้าขับถ่ายอุจจาระแล้วปวดปากทวารหนักเหมือนมีดบาด แสดงว่าเป็น”โรคร่องแผลที่ปากทวารหนัก”

          การรักษาโรคริดสีดวงทวารหนักมีหลายวิธี กล่าวคือ การใช้ยาเหน็บทวารหนัก การกินยาระบายหรือยาที่ทำให้ อุจจาระนุ่ม การฉีดยาที่หัวริดสีดวงทวารหนัก การใช้ยางรัด และการผ่าตัดหัวริดสีดวงทวารหนัก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสภาวะทั่วไปของผู้ป่วย

          “สุขภาพของท่าน ท่านคือคนสำคัญที่มีบทบาทที่สุดในการดูแลรักษา”

Sunday 23 September 2012

พยาบาล ... สวรรค์สร้างมา หรือแค่บิดามารดา อยากให้เป็น ??

วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ...
นั่งอัพ อะไรเล่นๆ สนุกแต่ได้ใจความกันดีกว่านะคะ
ปกติจะอัพความรู้ต่างๆนานา การดูแลตัวเองในโรคต่างๆ
แต่ ... วันนี้ มาแปลกแหวกแนว
ขอ เขียนเรื่องเกี่ยวกับ "อาชีพพยาบาล" ละกันคะ


หากเราตามสำรวจความฝันของเด็กๆหลายคน
ว่าโตขึ้น หนูอยากเป็นอะไร??
แน่นอนคะว่าต้องมี อาชีพพยาบาล เป็นคำตอบที่ติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของสาวน้อยทั้งหลายอย่างแน่นอน

ส่วนใหญ่จะให้เหตุผลว่า
-หนูอยากช่วยเหลือคนป่วย
-หนูอยากช่วยเหลือคนที่เจ็บ ให้หาย
นั่นคือเหตุผลของเด็กที่ไม่เกิน10ขวบ (แน่นอนคะ โลกยังสวยอยู่)

โตขึ้นมาอีกนิด...เหตุผลจะเปลี่ยนไป
-อยากเรียนเพราะมหาวิทยาลัยดัง
-จบมามีงานรองรับ
-เงินเดือนดี
-หนูโดนบังคับ เพราะพ่อแม่ อยากให้เป็น!!! เอาละซี้ เชื่อเหตุผลนี้ ร้อยละ50 จะตอบแบบนี้ทั้งนั้น
-บางคนอยากเรียนเพียงเพื่อ จะเป็น นาง พยายาม(อยากได้หมอ มาเป็นแฟน)??  

กาลเวลาเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน!!
วิชาชีพพยาบาล ... บางคน อาจโดนขีดเส้นมาจากสวรรค์เบื้องบน กำหนดมาให้แล้วก็เป็นได้
หรือ บางคน อาจโดนขีดเส้นจากบุพการี ของเรานั่นเอง อยากให้เดินทางสายนี้ เลี้ยวทางนี้ ตามที่ท่านอยากให้เดินและเป็นไป


พยาบาลบางคน ทำงานแบบส่งๆไปวันๆให้พ้นเวรพ้นกรรมกันไป
พยาบาลหลายคน ดูแลคนไข้อย่างกับเป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกเขาเองอย่างนั้นแหละ (ปลื้มมมมมาก หากใครคิดแบบนี้)
พยาบาลบางคน ต้องทนทำ เพื่อสิ่งที่ดีกว่า
พยาบาลบางคน ทำเพราะใจรัก (ยังมีคะ ส่วนนี้ยังคงมีอยู่ในสังคม มนุษย์โลกอยู่)
พยาบาลบางคน เอาวิชาชีพ ไปทำในทางที่ผิด
....

ที่กล่าวมานี้ 
ก็อยู่ที่สันนะดรส่วนบุคคลอีกนะแหละนะคะ 
เพราะไม่ว่าวิชาชีพ หรือ อาชีพ ใดใดก็ตามแต่ หากไม่มีใจรักและซื่อสัตย์ต่ออาชีพของเราเอง
ก็จะมีคนจำพวกนี้ วนเวียนอยู่ร่ำไป

เคยคิดกันมั้ยคะว่า เอ๊ะ!! ทำไม เราถึงเกิดมาเป็นแบบนี้ แบบนั้น
สวรรค์กำหนด หรือใครสร้างให้เราเป็นแบบนี้
ไม่มีใครรู้หรอกจริงมั้ยคะ 
ขนาดผู้เขียนเอง ยังเคยคิดเหมือนกันว่า 
"ฉันเป็นพยาบาลเพราะ ถูกชะตากำหนด หรือเพราะเลือกเองนะ"

แต่ถึงกระไรนั้น ผู้เขียนเอง มีความรักในวิชาชีพนี้คะ
มันให้อะไรเราหลายๆอย่าง

"ได้ทั้งความภาคภูมิใจ ปลื้มใจ สุขใจ และปัจจัย 555+"

ไม่ว่าจะอย่างไร ขอแค่เรามีใจรักและลงมือทำมันอย่างสุดความสามารถกันเถอะนะคะ
แล้วเราจะรู้สึกปิติ เมื่อได้เห็นผลผลิตที่มันออกมา ^^


Wednesday 19 September 2012

"น้ำกัดเท้า" ... โรคใหม่กับภัยน้ำท่วม

  โรคน้ำกัดเท้า หรือ ฮ่องกงฟุต
   เป็นโรคสุดฮิตที่เข้ากับบ้านเมืองของเราในสถานการณ์ช่วงนี้เป็นอย่างมากเลยนะคะ

บางคนต้องลุยน้ำ มาทำงาน
บางคนต้อง ลุยน้ำช่วยเหลือผู้คน
บางคนต้องโดนน้ำกระเด็น เพราะคนบางคนไม่มีน้ำใจ

เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้กันดีกว่าคะ

              โรคน้ำกัดเท้า หรือ โรคฮ่องกงฟุต (Athlete’s foot หรือ Hong Kong foot) คือ โรคผิวหนับริเวณเท้าติดเชื้อรา เป็นโรคพบบ่อยโรคหนึ่ง พบได้ทุกเพศ และทุกวัย 
และจะติดเชื้อราที่เรียกว่า Dermatophytes เนื่องจากเชื้อราจะเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ดีมากในอากาศร้อนชื้น 

โรคน้ำกัดเท้า กับภาวะน้ำท่วม สัมพันธ์กันอย่างไร

            ในคนที่ต้องลุยน้ำและแช่น้ำเป็นเวลานานนั้นบริเวณเท้าจะมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการเท้าเปื่อย ลอก คัน และแสบ และอาจมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราตามมาได้นั่นเอง และหนีไม่พ้นที่จะเกิดโรคน้ำกัดเท้า


       อาการโรคน้ำกัดเท้า

         โรคน้ำกัดเท้ามักเกิดตามง่ามเท้า ซึ่งเกิดได้กับทุกง่ามเท้า แต่พบบ่อยกว่า ระหว่างง่ามเท้านิ้วที่ 3 และที่ 4 และที่ 4 และที่ 5 โดยอาการที่พบบ่อย คือ ผิวหนังส่วนเกิดโรคจะ แห้ง ตกสะเก็ด แตกเป็นร่องแผลสด บวม เจ็บ และคัน บางครั้งอาจขึ้นเป็นตุ่มน้ำ และเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้ ซึ่งเพิ่มการอักเสบ บวม แดง ร้อน และอาจเกิดเป็นหนองได้ ซึ่งจะส่งผลให้โรครุนแรงขึ้น


      รักษาโรคน้ำกัดเท้าอย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคน้ำกัดเท้า คือ 
การใช้ยารักษาเชื้อราเฉพาะที่บริเวณแผล อาจเป็นยาครีม เจล ขี้ผึ้ง หรือ สเปรย์ 
ส่วนการทายาบรรเทาอาการคัน ควรต้องระวัง เพราะเมื่อมีส่วนผสมของยาสเตียรอยด์ อาจทำให้โรคลุกลามได้
นอกจากนั้น คือ การรักษาความสะอาด แผล เท้า รองเท้า และถุงเท้า ซึ่งนอกจากความสะอาดแล้วยังต้องดูแลให้ แห้ง ไม่เปียกชื้น ตลอดเวลาด้วยคะ

การป้องกัน
ในช่วงเวลาที่น้ำท่วมในหลายๆ พื้นที่นี้ อาจเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการลุยน้ำ การป้องกันโรคน้ำกัดเท้าโดยการรักษาความสะอาดของเท้าและทำให้เท้ามีความชื้นน้อยที่สุดจึงเป็นเรื่องสำคัญ
  • หลีกเลี่ยงความชื้น ไม่ใส่รองเท้าและถุงเท้าที่เปียกชื้นเป็นเวลานาน ควรซักถุงเท้าให้สะอาดและตากให้แห้งก่อนนำมาใช้ทุกครั้ง
  • ป้องกันเมื่อลุยน้ำ สวมรองเท้าบูททุกครั้งที่ลุยน้ำ ถ้าระดับน้ำสูงเกินกว่าขอบรองเท้าให้ใช้ถุงดำครอบแล้วใช้หนังยางรัดไว้ หากน้ำเข้ารองเท้าให้หมั่นเทน้ำออกเป็นระยะๆ
  • รักษาความสะอาด หลังจากลุยน้ำให้รีบล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ เช็ดให้แห้งโดยเฉพาะบริเวณซอกเท้า และใช้แป้งฝุ่นโรยบริเวณเท้าและซอกเท้าเพื่อให้เท้าแห้งสนิท
  • ดูแลแผล หากมีบาดแผลบริเวณเท้า เช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ และใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน และหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลสัมผัสกับน้ำสกปรกที่ท่วมขัง



เชื้อรากับเท้า,ฮ่องกงฟุต
น้ำกัดเท้า

ที่มาของรูปภาพ : Google.com




Tuesday 14 August 2012

ภาวะไข้...สิ่งใกล้ตัวที่ควรรู้

คงไม่มีใครไม่รู้จักอาการไข้ ใช่ไหมคะ "ไข้" เป็นคำที่ทุกคนต่างได้ยินผ่านหูกันมาอย่างดีและเคยชิน แต่ทราบกนหรือไม่คะว่า แท้ที่จริงแล้ว ภาวะไข้ คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ ภาวะไข้ กันนะคะ


ไข้ หรือ อาการตัวร้อน หรือที่เรียกว่า Fever
         หมายถึงการเพิ่มของอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าค่าปกติคือ 36.5–37.5 °C (98–100 °F) ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายที่พยายามต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส

ภาวะไข้ คือ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น  เนื่องจากมีการสร้างความร้อนจากภายในร่างกายหลังจากที่มี hypothalamic thermoregulatory set point สูงขึ้น

* Hyperthermia คือ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นโดยที่ hypothalamic thermoregulatory set point ยังอยู่ในระดับปกติ  โดยมีสาเหตุจากความร้อนภายนอก หรือการออกกำลังกาย นั่นเองคะ



การเกิดภาวะไข้

1.ขบวนการเกิดโรค  เช่นภาวะติดเชื้อ การอักเสบ เนื้องอก ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน
2.ยาที่มีผลโดยตรงทำให้ hypothalamic thermoregulatory set point สูงขึ้น

อาการไข้
    ซึม เบื่ออาหาร หายใจหอบ อ้าปากหอบหายใจ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ   ร่วมกับอาการอื่นๆตามสาเหตุของโรค 
    ภาวะไข้ที่ไม่ทราบสาเหตุ   จะใช้ในกรณีที่เป็นไข้เป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์โดยไม่สามารถระบุสาเหตุ และไม่พบความผิดปกติอื่นๆจากการตรวจวินิจฉัยด้วย

การตรวจวินิฉัย
  • จากประวัติ สิ่งแวดล้อม สภาพการเลี้ยงดู การใช้ยา ประวัติวัคซีน
  • การตรวจร่างกาย : บาดแผลทางผิวหนัง แผล ฝี หนอง ขนาดของต่อมน้ำเหลือง ก้อนเนื้องอก
  • การตรวจเลือด
  • การ x-ray ช่องอก และช่องท้อง
 เป็นต้น

        อาการไข้เป็นภาวะที่ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ โดยการทำให้สภาวะแวดล้อมไม่เหมาะกับการเจริญของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส สารเคมีที่ถูกหลั่งออกมาในกระแสเลือดขณะที่เกิดการติดเชื้อจะส่งสัญญาณไปยัง “ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิ” ในสมองทำให้เกิดความร้อนขึ้น กล้ามเนื้อจะเกิดสั่นกระตุกขึ้นเพื่อสร้างความร้อน เราอาจรู้สึกหนาวสะท้านจนต้องหาอะไรมาห่ม หรืออาจมีการสูญเสียน้ำปริมาณมากได้จาการมีเหงื่อออก ซึ่งทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลง หลังจากนั้นอาการไข้จะหาย


การดูแลรักษาตนเองเพื่อบรรเทาอาการ

       เนื่องจากอาการเป็นไข้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค และเป็นกระบวนการรักษาตัวเองของร่างกายตามธรรมชาติ ดังนั้นสำหรับผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องลดไข้ เว้นแต่จะรู้สึกไม่สบายตัวมาก แต่ควรระวังในเด็กทารก ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือปอด และในสตรีมีครรภ์ ควรจะทำให้ไข้ลดเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียงต่อการสูญเสียน้ำมากเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ทั้งนี้เป้าหมายของการดูแลรักษาตนเองในการบรรเทาอาการไข้ก็เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และช่วยลดอาการไม่สบายตัวถ้าหากจำเป็น



การรักษา

-การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะไข้
-การให้สารน้ำ ในกรณีที่เกิดภาวะขาดน้ำ และนอกจากนี้การให้สารน้ำยังช่วยให้อุณภูมิร่างกายลดลงด้วย
-การให้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจากแบคทีเรียมักจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไข้  ในรายที่เป็นไข้แบบไม่ทราบสาเหตุควรให้ยาปฏิชีวนะชนิดออกฤทธิ์วงกว้างและออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในระยะเวลาสั้นๆ
-การรักษาอื่นๆตามอาการ  เช่นการให้สารอาหารในรายที่ไม่กินอาหาร  หรือให้ยาลดไข้ในรายที่ไข้สูงมากๆ ทั้งนี้การรักษาจะอยู่ในดุลยพิินิจของแพทย์คะ






ควรปรึกษาแพทย์เมื่อใด

เมื่อไข้สูงเกิน 39.4 C ขึ้นไป
เมื่อมีไข้ร่วมกับผื่น ปวดศรีษะอย่างมาก และคอแข็ง

เมื่อกระวนกระวายหรือสับสนมาก 
เมื่อไอมีเสมหะสีน้ำตาล/เขียว 
เมื่อมีอาการปวดผิดปกติขณะปัสสาวะ ปวดท้อง ปวดหลังมาก
เมื่อมีอาการขาดน้ำ
เมื่อมีไข้หลังจากรับประทานยาบางชนิด



sick


ที่มารูปภาพ : Google.com






Monday 30 July 2012

อะมีบา...มันมาอีกแล้ว!!

ยังไม่ทันหายกังวลเกี่ยวกับเชื้อเอนเทอโรไวรัส71เลย ใช่มั้ยคะ
ยังต้องมาวาดระแวงกับเชื้อเก่าที่กลับมาใหม่อีกแล้ว เชื้อนั้นคือ เชื้ออะมีบา นั่นเองคะ
และในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับเชื้อนี้กันนะคะว่ามันคือเชื้ออะไร? ส่งผลต่อเราอย่างไร?และเราจะป้องกันเชื้อนี้อย่างไร?


เชื้ออะมีบาคืออะไร?
เชื้ออะมีบาเป็นกลุ่มโปรโตซัวร์ สัตว์เซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ 
มักจะอยู่ตามแหล่งน้ำจืดที่มีลักษณะน้ำขัง นิ่งขุ่น และในดิน 


สำหรับเชื้ออะมีบานี้มี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ


กลุ่มที่ 1 Naegleria fowleri //เนคเกอเรีย ฟาวเลอรี่ 
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอันตรายมากที่สุด เข้าสู่ร่างกายทางจมูก
เชื้อจะขึ้นสมองโดยผ่านทางเส้นประสาทรับกลิ่น ทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เรียกว่า Primary amoebic meningo - encephalitis (PAM) ซึ่งมีอาการรุนแรง เชื้อนี้มักรักษายาก การใช้ยากลุ่มปฏิชีวนะมักได้ผลน้อย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเสียชีวิตภายใน 10 วัน


กลุ่มที่ 2  Acanthamoeba// อะคันทามีบา
 มี 4 สายพันธุ์ด้วยกันคือ
Acanthamoeba cibertsoni ทำให้เกิดโรคที่สมอง 
- Acanthamoeba  cactellanii ทำให้เกิดโรคในสมอง ตา กระดูก 
Acanthamoeba polyphageทำให้เกิดโรคที่ตาหรือคอนแทกต์เลนส์ 
Acanthamoeba astronyxis ทำให้เกิดโรคที่สมองและผิวหนัง


กลุ่มที่ 3 ได้แก่  Balamuthia mandaris//บาลามูเทีย แมนดาริส 
เข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทางคือ 
1.ทางผิวหนัง 
ทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นหนอง และลุกลามผ่านกระแสเลือดขึ้นสู่สมองและทำให้สมองอักเสบ (Granulomatous amoebicencephalitis; GAE) 
2.ทางเยื่อบุตา ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ (Kerato - Conjunctivitis) อาจทำให้ตาบอดได้ เชื้อดังกล่าวเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัว 3 - 7 วัน


การติดต่อ//การรับเชื้ออะมีบา รับได้อย่างไร?


เชื้ออะมีบาไม่ติดต่อจากคนไปสู่คน  ไม่มีพาหะในการนำโรค
แต่เป็นโรคติดต่อจากแหล่งน้ำโดยตรง เชื้อเนคเกอเรียจะติดต่อได้ก็ต่อเมื่อสำลักน้ำเข้าทางจมูกเท่านั้นเพราะที่โพรงจมูกจะมีประสาทเส้นหนึ่งซึ่งเป็นประสาทรับรู้กลิ่นเชื่อมต่อกับสมองโดยตรง อะมีบาจะใช้เส้นทางนี้เข้าสู่สมอง จากนั้นอะมีบาจะแตกตัวกัดกินสมองจนผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
          สำหรับการดื่มหรือกินเชื้อนี้เข้าไปจะไม่เป็นอะไรเพราะในระบบทางเดินอาหารจะมีกรดและน้ำย่อยที่ทำลายอะมีบาให้ตายได้ ส่วนเชื้ออะคันธามีบา สามารถติดต่อผ่านผิวหนังที่เป็นแผล เข้าสู่ปอด หรือติดต่อผ่านแผลกระจกตา จากนั้นเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าสู่สมองเช่นเดียวกันแต่ต้องได้รับในปริมาณพอสมควรเชื้อจึงจะก่อโรคได้ เพราะฉะนั้นในสระว่ายน้ำ น้ำประปา ที่มีคลอรีนมาตรฐานอยู่ในระบบกรองน้ำหรือคูคลองที่น้ำไหลเวียน จะไม่มีเชื้อนี้อาศัยอยู่ น้ำประปา น้ำต้ม น้ำกรองจึงสามารถดื่มได้เพราะจะไม่มีเชื้อนี้คะ






อาการเริ่มต้นของผู้ป่วย 
จะเริ่มมีอาการไข้หวัด ปวดศรีษะ ซึม และเมื่ออาการรุนแรงขึ้นถึงจะแสดงอาการทางสมอง โดยจะคลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง ไขสันหลังอักเสบ ต้องได้รับการตรวจชิ้นเนื้อสมองหรือเจาะน้ำไขสันหลังดู เพื่อวินิจฉัยว่าผู้ป่วยได้รับการติดเชื้อจากอะมีบา นั่นเอง


เชื้ออะมีบาจะแบ่งตัวได้ดีในสมองคน เพราะในสมองคนมีอุณหภูมิพอเหมาะ มีอาหารสมบูรณ์ อะมีบาจึงเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในฤดูร้อน เชื้ออะมีบาจะเจริญเติบโต แบ่งตัวได้มากกว่าและเร็วกว่าปกติอีกด้วยนะคะ ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันคือ ไม่ให้สำลักน้ำตามแหล่งน้ำต่างๆเข้าสู่โพรงจมูก และ ไม่เดินลุยน้ำที่ขังและไม่สะอาด พึงสังเกตอาการผิดปกติต่างๆของตนเองตลอดเวลาอีกด้วยคะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเเละคนที่เรารักนะคะ 




ติดเชื้ออะมีบา,อะมีบา,Amoeba

ที่มาของรูปภาพ : Google.com











Wednesday 25 July 2012

ทำอย่างไรจะปลอดภัย...เมื่อใช้"ยาปฏิชีวนะ"

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ//การแพทย์ ทุกวันนี้มันเยอะยิ่งนักนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคที่มันพัฒนาตัวมันเองแข่งกับยาต้านที่มนุษย์เราผลิตมาเพื่อสู้กับมัน
ต่างคนต่างดิ้นรน น่าเหนื่อยจังเลย...

เมื่อร่างกายของเราก็เหมือนกับเครื่องจักร ทำทุกวันหนักๆไม่พัก สักวันมันก็ต้องมีวันเสื่อมวันพังเป็นเรื่องสัจธรรมของชีวิต แต่เราจะทำอย่าางไร ป้องกันหรือส่งเสริมอย่างไรให้ร่างกายหรือเครื่องจักรของเราไม่เสื่อมสภาพ//หรือว่าง่ายๆเสื่อมสภาพแบบน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อโลกเปลี่ยนไปวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลง ก็มีการพัฒนาทั้งยารักษาโรค การรักษา การผ่าตัด ให้ทันสมัยเพื่อรับมือกับการยื้อชีวิตให้กลับมาเป็นปกติที่สุด

1ในการรักษาโรคทั่วไปคือ ยา
และยานี่เองคือสารเคมีที่จะเข้าร่างกายไปช่วยให้ร่างกายของเราดีขึ้น แต่..เราสามารถซื้อยามารับประทานเองได้หรือไม่?? และจะต้องปรึกษาใคร??
ยาชนิดหนึ่งที่ทุกคนคงเคยได้รับยาชนิดนี้กันมาเเล้วอย่างแน่นอนคือ ยาแก้อักเสบ หรือ ยาปฏิชีวนะ นั่นเองคะ

      ยาปฏิชีวนะคือยาอะไร?

ในวงการแพทย์มักเรียกยาปฏิชีวนะว่า แอนติไบโอติก (Antibiotics) หมายถึง ยาต้านสิ่งมีชีวิต ซึ่งสิ่งมีชีวิตในที่นี้ คือ เชื้อโรคนั่นเอง โดยทั่วไปมักเป็นเชื้อแบคทีเรีย บางคนจึงเรียกว่า ยาต้านแบคทีเรีย (แอนติแบคทีเรียล/Antibacterial) แต่ยังอาจครอบคลุมถึงเชื้อไวรัสบางชนิด และเชื้อราบางชนิดอีกด้วยคะ

ยาปฏิชีวนะรักษาโรคได้อย่างไร?

กลไกการออกฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะ มีกระบวนการทำลายและยับยั้งการเจริญ เติบโตของเชื้อแบคทีเรียโดย 
-ทำลายเยื้อหุ้มเซลล์ซึ่งส่งผลทำให้สมดุลในการดำรงชีวิตของเชื้อโรคเสียไปและตายในที่สุด         
-ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ (Cell Wall) ซึ่งเป็นผนังภายนอกสุดของเซลล์ ที่ห่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ด้วยกลไกนี้จะทำให้เชื้อแบคทีเรียต่างๆไม่สามารถแพร่พันธุ์ จึงหยุดการเจริญเติบโต
-ก่อกวนการสังเคราะห์สารพันธุกรรม(ดีเอนเอ และ อาร์เอนเอ)
ในตัวของเชื้อแบคทีเรีย  กลไกดังกล่าวจะทำให้เชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถผลิตลูกหลานออกมาได้อีกต่อไป
-กระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรีย ปลดปล่อยน้ำย่อยออกมาย่อยตัวเองและตายลงในที่สุด
อนึ่ง ความสามารถในการทำลายเชื้อแบคทีเรียของยาปฏิชีวนะ ไม่ได้ขึ้นกับวิธีการ หรือกลไกทำลายเชื้อโรคเท่านั้น แต่ยังขึ้นกับความสามารถในการนำ หรือพายาปฏิชีวนะไปยังอวัยวะที่มีการติดเชื้อ หากร่างกายไม่สามารถนำยาไปยังอวัยวะที่มีการติดเชื้อได้ ก็ไม่สามารถทำลายเชื้อโรคได้ ซึ่งการนำยาไปยังอวัยวะเป้าหมาย มีหลายช่องทาง
 เช่น การกิน การฉีดใต้ผิวหนัง การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และ การทาที่ผิวหนัง

ใช้ยาปฏิชีวนะนานๆ หรือ พร่ำเพรื่อ ส่งผลเสียอะไรบ้าง?

การใช้ยาปฏิชีวนะ ต้องใช้ให้เหมาะสม และตรงกับชนิดของโรคที่จะรักษา การได้รับยาไม่ครบตามปริมาณ และในขนาดที่เหมาะสม ส่งผลเสียโดยตรง คือ อาการของโรคไม่ดีขึ้น 
แต่การใช้ยาปฏิชีวนะนานเกินไป หรือใช้มากเกินไปก็มีผลเสีย ดังนั้นการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะควรต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ หรือขอคำ แนะนำจากเภสัชกรก่อนใช้เสมอ
ผลเสียจากใช้ยาปฏิชีวนะนานๆ หรือ พร่ำเพรื่อ ที่พบบ่อย คือ
-เชื้อโรคมีพัฒนาการต่อต้านยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้เกิดภาวะดื้อยา (เชื้อดื้อยา)
-เกิดการกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายที่มีตามธรรมชาติ ทำให้ร่าง กายอ่อนแอลง ไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้ด้วยภูมิคุ้มกันของตัวเอง ซึ่งมักพบภาวะกดภูมิคุ้มกันกับการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปในเด็ก
-เกิดการทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งอาศัยอยู่ในทางเดินอาหาร ส่งผลให้การสร้าง และ/หรือ การดูดซึม วิตามินบางกลุ่มสูญเสียไป เช่น วิตามิน เค เป็นต้น
-ได้รับผลอันไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ของการใช้ยา เช่น ท้องเสีย ผื่นคัน ลมพิษ และ หอบหืด
-รบกวนการทำงานของยากลุ่มอื่น (ปฏิกิริยาระหว่างยา) เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะบางกลุ่มพร้อมกับยาคุมกำเนิด จะทำให้ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดลดลง จนอาจเกิดการตั้งครรภ์ตามมาได้
ด้วยการซื้อยาปฏิชีวนะใช้เอง หรือใช้ตามคำบอกเล่า มักส่งผลเสียมากกว่าประโยชน์ที่ควรได้รับ เช่น
  • สูญเสียความสามารถในการรักษาโรค ด้วยเลือกใช้ยาปฏิชีวนะไม่ตรงกับโรค
  • ก่อให้เกิดพิษหรือการแพ้ยา ปฏิชีวนะ บางรายอาจถึงขั้นรุนแรงและเสียชีวิตในที่สุด
  • สูญเสียทางเศรษฐกิจ ด้วยค่าใช้จ่ายในการซื้อยาและไม่ได้รับประสิทธิผลของยาที่ใช้ในการรักษา
  • เป็นสาเหตุสำคัญของเชื้อดื้อยา ซึ่งต่อไปเมื่อเกิดติดเชื้อ มักจะรุนแรง รักษาได้ยาก มีโอกาสเสียชีวิตได้สูงขึ้น

ดังนั้น คำแนะนำสำคัญในการใช้ยาปฏิชีวนะ 
คือ ควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เสมอ หรือ อย่างน้อยควรต้องปรึกษาเภสัชกร หรือ พยาบาล ก่อนซื้อยากินเองเสมอ เพราะนอกจากอันตรายดังกล่าวแล้ว ยังมีปัจจัยที่ต้องใช้ประกอบในการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะอีกมากมาย เช่น ภาวะหอบหืด ภาวะตับ และ/หรือไตทำงานผิดปกติหรือไม่ วัยของผู้ป่วย ซึ่งต้องคำนวณการใช้ยาที่แตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้ การแจ้ง แพทย์ พยาบาล และ เภสัชกร ให้ทราบว่าตนเองแพ้ยา (การแพ้ยา)ปฏิชีวนะกลุ่มใด หรือ ตัวใด   เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ยาให้ยิ่งสูงขึ้นอีกด้วยนะคะ
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล : Haamor.com//antibiotic



ยาปฏิชีวนะ,ยาฆ่าเชื้อ,antibiotic

ที่มาของรูปภาพ : Google.com






Tuesday 24 July 2012

แค่น้ำเต้าหู้...ก็สวยได้

วันนี้ไม่ได้มาอัพความรู้เรืิ่องโรคให้ได้อ่านกันนะคะ แต่วันนี้ขอมาเล่าถึงคุณงามความดีของสารอาหารชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สาวๆอย่างเรา ยังคงความสาวและสวย ผิวพรรณดีอยู่ได้ไปอีกนาน
ของสิ่งที่จะกล่าวถึงนี้ ราคาไม่แพง หามารับประทานง่ายมากๆคือ "น้ำเต้าหู้" นั่นเองคะ

น้ำเต้าหู้ ทำมาจากอะไร


วัตถุดิบในการผลิตน้ำเต้าหู้นี้หาง่ายมากๆคะ น้ำเต้าหู้ทำมาจากถั่วเหลือง ซึ่งวิธีในการทำก็ง่ายแสนง่าย

มีวิธีทำดีังต่อไปนี้คะ
-นำถั่วเหลือง ไปแช่น้ำไว้สัก1-2ชั่วโมง เพื่อให้เมล้ดถั่วเหลืองมันเปื่อย//นิ่มลง
-นำถั่วเหลืองที่แช่น้ำนั้นไปปั่นในเครื่องปั่นใส่น้ำเข้าไปด้วยนะคะ//หรือเครื่องสกัดน้ำเต้าหู้โดยเฉพาะก็ได้คะ(สะดวกดีด้วย)
-นำน้ำที่ปั่นจากเมล้ดถั่วเหลืองมากรองโดยผ้าขาวบาง
-เมื่อได้น้ำสกัดจากถั่วเหลืองแล้วก็นำไปต้มให้เดือด
-ปรุงรสด้วยการเติมน้ำตาล ใส่เครื่องเคียงลงไปด้วยเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น ลุกเดือย ถั่วแดง วุ้น สาคู เม็ดแมงลัก หรืออย่างอื่นที่เราชื่นชอบก็ได้คะ

แล้วในน้ำเต้าหู้มีสารอะไร? ทำไมสาวๆอย่างเราถึงต้องกินนะ??

ถั่วเหลืองเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมไปถึงสารอาหารที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ ,บีรวม ,บี1,บี 2 ,บี 6 ,บี 12 ,ไนอาซิน ,เลซิทิน ซึ่งตัวหลังสุดช่วยในการบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ นอกจากนี้สารอาหารที่อยู่ในนมถั่วเหลืองยังช่วยลดไขมันและคอเลสเทอรอล ป้องการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ และริดสีดวงด้วยนะคะ

น้ำเต้าหู้กับสุขภาพ
    นมถั่วเหลืองให้พลังงานได้มากพอ ๆ กับนมวัว แม้ปริมาณโปรตีน วิตามินและเกลือแร่อื่น ๆ อาจได้ไม่เท่ากับนมวัว แต่ข้อดีที่สำคัญคือ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
 เพราะ ไขมันในนมถั่วเหลือง เป็นไขมันไม่อิ่มตัวมีมากถึง 63% 
                                           ไขมันอิ่มตัว 15 %
                                           ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเดี่ยวอีก 24 %
                                           และยังมี linoleic acid กรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย 

นอกเหนือจากคุณค่าในแง่ของพลังงานแล้ว ในนมถั่วเหลืองยังมีสารอาหารอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินอี ที่มีในปริมาณที่สูง วิตามินอี มีส่วนสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลเนื้อเยื่อร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง และยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย ...เพราะฉะนั้น ถ้าใครทานนมถั่วเหลืองมาก ๆ ก็มีสิทธิแก่ช้า แถมยังได้ผิวพรรณที่สดใสอยู่กับเราไปนาน ๆ ด้วย

น้ำเต้าหู้ดีกับสุขภาพโดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทอง หากมีการรับประทานน้ำเต้าหู้อยู่เสมอจะช่วยลดอาการต่าง ๆ ของหญิงวัยหมดประจำเดือนไม่ว่าจะเป็นร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง ไขมันสูง อารมณ์ไม่ปกติ ในน้ำเต้าหู้จะมีสารเคมีสำคัญตัวหนึ่ง คือ ไอโซฟลาโวน ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ประโยชน์ของสารตัวนี้สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม ส่วนคุณผู้หญิงที่ไม่อยู่ในช่วงวัยทองก็ได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน เพราะจะช่วยปรับฮอร์โมนของผู้หญิงให้สมดุลได้เช่นเดียวกับยาคุมกำเนิดอีกด้วยคะ



นมถั่วเหลือง,เต้าหู้



ที่มาของรูปภาพ: Google.com

**เมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้เเล้ว อย่าลืมดื่มน้ำเต้าหู้เป็นปประจำ เพื่อความสวยและสุขภาพที่ดีของเรานะคะ ^^

Monday 23 July 2012

ปวดหลังจากการทำงาน...โรคฮิตของวัยทำงาน


โรคปวดหลังจากการทำงาน          
   
   คือภาวะที่เกิดการตึงตัว เกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณเอว หรือ หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวเคลื่อนแล้วส่งผลทำให้เกิดการเจ็บปวดนั่นเองคะ

สาเหตุของโรคปวดหลังจากการทำงาน
-      การนั่งผิดท่าเช่น การนั่งหลังโก่ง นั่งบิด
-       นั่งขับรถหลังโก่ง
-       การยืนที่ผิดท่า
-      การยกของผิดท่า
-       ร่างกายไม่แข็งแรง
-       ทำงานมากไป

      ซึ่้งปัจจัยหลักๆและที่สำคัญคือ น้ำหนักของวัตถุที่จะยก เพราะหากเรายกสิ่งของที่น้ำหนักมากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้อย่างแน่นอนคะ


การป้องกัน


*   เลือกบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน
*  ทำงานด้วยท่าทางที่ถูกต้อง
*  น้ำหนักของสิ่งของที่ยกไม่เกินพิกัด//ความสามารถในการยก
*  มี การใช้เครื่องทุ่นแรงช่วยในการยกเคลื่อนย้ายสิ่งของทุกครั้ง



ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคปวดหลัง

- หลีกเลี่ยงจากการงอเอว ให้งอข้อสะโพกและเข่าร่วมด้วย
- หลีกเลี่ยงจากการยกของหนักโดยเฉพาะที่อยู่เกินเอว
- หันหน้าเข้าสิ่งของทุกครั้งที่จะยกของ
- ถือของหนักชิดตัว
- ไม่ยกหรือผลักของที่หนักเกินตัว
- หลีกเลี่ยงการยกของที่มีน้ำหนักไม่เท่ากัน
- หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
- เปลี่ยนท่าบ่อยๆ
- การถูพื้น ดูดฝุ่น การขุดดิน ควรจะถือเครื่่องมือไว้ใกล้ตัว ไม่ก้าวยาวๆหรือเอื้อมมือหยิบของ
- ให้นั่งสวมถุงเท้า รองเท้า ไม่ยืนเท้าข้างเดียวสวมรองเท้าหรือถุงเท้า
- หลีกเลี่ยงการแอ่นหลังหรืองอหลัง
- นั่งหลังตรงและมีพนักพิงที่หลัง  หาหมอนหรือผ้ารองบริเวณเอว ให้ยืนยืดเส้นทุก 20-30 นาที
- การยืน..อย่ายืนหลังค่อม  ให้ยืนยืดไหล่อย่าห่อไหล่เพราะจะเมื่อยคอ  อย่าใส่รองเท้าที่ส้นสูงมาก
- การยก ย้ายสิ่งของให้เลือกวิธีอื่นเช่น การผลักหรือดัน  ,  เวลาจะยกให้เดินเข้าใกล้สิ่งที่จะยก
  ย่อเข่าลงแล้วจับแล้วยืนขึ้น,ไม่ก้มหลังยกขอ

ปวดหลังคืออะไร,ปวดหลังจากการทำงาน

ที่มาของรูปภาพ : Google.com


Monday 16 July 2012

เอนเทอโรไวรัส...คืออะไร

ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่า ไม่เคยได้ยินชื่อ >>เชื้อเอนเทอโรไวรัส
สงสัยกันหรือไม่คะ ว่าเชื้อนี้คืออะไร มีผลต่ออะไร ทำให้เกิดอะไร?


เชื้อเอนเทอโรไวรัสคืออะไร?
เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ส่งผล//ก่อให้เกิดโรคต่างๆในเด็กคะ ที่มีทั้งหมด 68 Serotype 
แต่ที่โด่งดัง ณ เวลานี้ คือ เชื้อไวรัสเอนเทอโร71 นั่นเอง เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค มือ เท้า ปาก (Hand Foot Mouse) ที่กำลังระบาดที่ประเทศกัมพูชา แล้วอพยพข้ามมาฝั่งบ้านเราในทุกวันนี้น่ะคะ


การติดต่อของเชื้อไวรัสชนิดนี้
ติดต่อในรุปของการที่เรารับประทานอาหารหรือมีเชื้อไวรัสนี้ปนเปื้อนเข้าไปในร่างกาย
หรือเกิดการแพร่กระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยุ่แล้ว เช่นน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ละอองจากการไอจาม น้ำเหลืองจากแผลพุพอง  หรืออุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อ ซึ่งเชื้อไวรัสนี้มีระยะฟักตัวที่3-7วันคะ


เมื่อตืดเชื้อไวรัสเอนเทอโร71แล้ว เสียชีวิตทันทีเลยหรือไม่?
คำตอบ ส่วนใหญ่ผู้ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส71นั้น ยังไม่มีข้อมูลใดๆที่บอกว่า มีการเสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้โดยตรงคะ ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อไวรัสมากกว่าคะ เช่น มีการติดเชื้อที่ปอด ที่เยื่อหุ้มสมอง ที่ไขสันหลังเป็นต้นคะ


การป้องกัน
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนใดๆ ที่จะป้องกันเชื้อไวรัสนี้ได้ แต่เราสามารถทำได้โดย
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ป่วยมีเชื้อไวรัสชนิดนี้
-หมั่นล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หรือเผยแพร่ไปให้ผู้อื่น
-แยกเด็กที่ป่วยด้วยเชื้อไวรัสนี้ มิให้สัมผัสกับเด็กคนอื่นเพื่อป้องกันการเผยแพร่เชื้อนั่นเอง





ที่มาของรูปภาพ : Google.com





Sunday 8 July 2012

ยาคุมฉุกเฉิน...ใช้ได้จนเพลินหรือแค่Emerจริงๆ

การคุมกำเนิดของมนุษย์โลกเรานั้นมีหลายวิธีเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็น การทำหมันหญิง ทำหมันชาย การใช้ถุงยางอนามัย การใช้ห่วงอนามัย การรับประทานยาคุมกำเนิด เป็นต้น

เมื่อโลกเราเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน วิวัฒนาการทางการแพทย์ก็พัฒนาไปด้วย
ในทุกวันนี้มีการพัฒนายาคุมกำเนิดในอีกรูปแบบหนึ่งคือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
วันนี้เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับยาคุมกำเนิดฉุกเฉินตัวนี้กันดีกว่านะคะ จะได้เลือกใช้อย่างถูกต้อง

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน คืออะไร
 ยาคุมฉุกเฉินหรือยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Pill)นั้น จัดว่าเป็๋นยาคุมประเภทหนึ่ง ที่มีข้อพึงใช้เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น  โดนข่มขืนแล้วผู้ร้ายหลั่งข้างใน หรือคู่สามีภรรยา คุมกำเนิดโดยถุงยางอนามัยแต่เกิดถุงยางแตก //รั่ว ลืมรับประทานยาคุมกำเนิด 2 วันติดกัน เป็นต้น

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน กินอย่างไร??
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน 1 แผง จะมียา 2เม็ด ซึ่งแต่ละเม็ดประกอบด้วยยาที่มีฮอร์โมน Levonorgestrel 750 microgram 

การรับประทานยาอย่างถูกต้องคือ 
- เม็ดแรก ต้องทานให้เร็วที่สุดคือ หลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมง
- เม็ดที่สอง ต้องทานหลังรับประทานเม็ดแรกไปแล้วไม่เกิน 12 ชั่วโมง
**หากเกิดมีการอาเจียน หลังรับประทานยาในแต่ละเม็ดไปแล้ว ต้องรับประทานยาไปใหม่ และห้าม!!รับประทานยาเกิน4 เม็ดต่อเดือนนะคะ

ถ้าหากเราจะรับประทานยาคุมฉุกเฉิน 2เม้ดในครั้งเดียวเลยได้หรือไม่?
คำตอบ คือ ได้ค่ะ เพียงแต่จะทำให้เกิดอาการอาเจียนมากกว่าการแบ่งรับประทานครั้งละเม็ด 2 ครั้งเองคะ

*** ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น ไม่ได้คุมกำเนิดได้ 100% นะคะ ป้องกันการคุมกำเนิดได้แค่ 75-90% เท่านั้นเอง  จะอย่างไรนั้น เราควรป้องกันด้วยวิธีอื่นด้วย และที่สำคัญ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์นะคะ




ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน



ที่มาของรุปภาพ : Google.com


Tuesday 3 July 2012

Bulemia...โรคทางจิตหรือคิดไปเอง

ใครๆก็อยากหุ่นดี หุ่นสวยงาม
บางคนอดอาหาร บางคนงดอาหาร
บางคนออกกำลังกาย บางคนทานยาลดน้ำหนัก
แต่...บางคน ถึงขั้นทานเข้าไปแล้วล้วงคอ เพื่อให้สิ่งที่เราทานเข้าไปนั้นออกมา - -"
ในวันนี้จะขอกล่าวถึงโรคBulemia(บูลีเมีย) นั่นเองคะ


Bulemia คืออะไร?
เป็นความผิดปกติของการรับประทานคะ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะแสดงอาการโดยการที่รับประทานอาหารเข้าไปในปริมาณมากๆ อยากอาหารทันทีแบบที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ ทำให้รับประทานอาหารมากเกินไป แล้วรู้สึกผิด อยากล้วงคอทำให้ตัวเองอาเจียนหรือทานยาถ่ายเพื่อระบายออกเพราะกลัวอ้วน นั่นเอง

สาเหตุของโรคบูลีเมีย ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือ การสร้างค่านิยมที่ผิดๆให้กับตัวเอง ในเรื่องของน้ำหนักตัว กลัวอ้วน และสาเหตุรองลงมา คือ ความเครียด//มีอาการซึมเศร้า//หรือมีความวิตกกังวลกับรูปร่างของตน กับน้ำหนักของตนเอง
**มักจะพบในวัยรุ่นและวัยทำงานอายุประมาณ20-30ปี

อาการของโรค
-ผู้ป่วยจะมีอาการควบคุมตนเอวไม่ได้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารหรือควบคุมการรับประทานอาหาร
-มีความกังวลในรูปร่างของตนเองมากเกินไป
-มีความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ทานเข้าไปแล้วล้วงคออ้วก เอาอาหารออกมา
-ประจำดือนขาด เนื่องจากร่างกายขาดสารอาหาร ทำให้เจริญเติบโตไม่เต็มที่
-เลือกรับประทานมากเกินไป เกินความพอดี
-หมกหมุ่นกับการออกกำลังกายเกินความพอดี
-ชั่งน้ำหนักของตัวเองบ่อยเกินความปกติ

การรักษา
*นำผู้ป่วยเข้าปปรับพฤติกรรม ปรับมุมมองของตนเองให้เหมาะสม
*ให้ผู้ป่วยเข้าเรียนรุ้เกี่ยวกับการรับโภชนาการที่เหมาะสม
*ในบางรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องใช้ยาระงับอาการซึมเศร้า

**โรคบูลิเมียเป็นโรคที่ทำอันตรายที่มีผลต่อการเสียชีวิตได้ อันเนื่องมาจากทำให้ระบบอาหารของร่างกายแปรปรวน ร่างกายไม่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ ดังนั้น เราจึงควรรับประทานอาหางอย่างพอดี ออกกำลังกาย และพอใจในสิ่งที่ตนเป็น มองโลกในแง่บวก เพียงแค่นี้ เราก็จะมีความสุขในการดำเนินชีวิตได้แล้วคะ


ล้วงคออ้วก




ที่มารูปภาพ : Google.com