Wednesday 27 June 2012

เมื่อจมูกฉัน...มีเลือดกำเดาไหล!!

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ไม่เคยเป็นเลือดกำเดาไหล ใช่มั้ยคะ
เคยสงสัยมั้ยว่า เลือดกำเดาเกิดจากอะไร
เลือดกำเดาคืออะไำร??

เลือดกำเดาไหล  


คือ ภาวะที่เลือดออกทางจมูก เกิดจากเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกและบริเวณใกล้เคียงฉีกขาดทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง 
ซึ่งพบได้ในทุกเพศและทุกวัย  ในเด็กเล็กนั้นและไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดคะ แต่ในผู้ใหญ่แล้วเลือดกำเดาที่เกิดจากสาเหตุเส้นเลือดใหญ่แตก เป็นเนื้องอก หรือมะเร็งในจมูก เหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายทั้งสิ้นนะคะ


ผู้ป่วยที่มีเลือดกำเดาไหลควรรีบไปพบแพทย์ ในกรณีที่
1.มีเลือดกำเดาออกติดต่อกัน นานมากกว่า 20 นาที
2.เกิดเลือดกำเดาไหล ตามหลังอุบัติเหตุบริเวณศีรษะ 



สาเหตุของเลือดกำเดา

* การระคายเคืองหรือบาดเจ็บต่อเยื่อบุจมูก ได้แก่ 

- การแคะจมูก (แคะออกจะเกิดแผลถลอก จึงมีเลือดออกตามมา)

- การสั่งน้ำมูกแรง ๆ

-การเปลี่ยนแปลงความกดอากาศอย่างรวดเร็ว เช่น การดำน้ำ 

-การได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะและใบหน้า 

-มีสิ่งแปลกปลอมในจมูก

-การอักเสบและติดเชื้อที่บริเวณโพรงจมูก (จะทำให้มีเลือดมาเลี้ยงโพรงจมูกมากขึ้น จึงมีเลือดคั่งที่เยื่อบุจมูกและเยื่อบุโพรงอากาศข้างจมูก ถ้าสั่งน้ำมูกหรือจามรุนแรง อาจทำให้เลือดกำเดาไหลหรือมีน้ำมูกปนเลือด)

-ผนังกั้นช่องจมูกคด

-เนื้องอกในจมูกหรือโพรงอากาศข้างจมูก 

-โรคความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดแดงแข็งตัว (Atherosclerosis)

-โรคเลือดที่ทำให้เลือดออกง่าย 

-มีการคั่งของเส้นเลือดดำ 


การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

* ให้ผู้ป่วยก้มหน้าลง ห้าม!! เงยหน้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้เลือดไหลลงคอแล้วเกิดการสำลักลงสู่ปอดได้
*ใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือบีบที่ปีกจมูกทั้งสองข้างให้แน่น เป็นเวลานาน 5–10 นาที 
 (ให้หายใจทางปากแทนคะ วิธีนี้จะช่วยห้ามเลือดกำเดาชนิดเลือดออกทางส่วนหน้าของจมูกได้ดี
  ทีเดียว)
* นั่งและโน้มตัวมาข้างหน้า เพื่อลดความดันของหลอดเลือดดำในโพรงจมูก จะช่วยให้เลือดออกน้อยลง 
* นำน้ำแข็งมาประคบบริเวณหน้าผากหรือคอ เพื่อให้เลือดหยุด 
  (การประคบน้ำแข็งควรประคบนานประมาณ 10 นาที แล้วจึงเอาออกประมาณ 10 นาที แล้วค่อยประคบ ใหม่เป็นเวลา10 นาที ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อย ๆคะ)
*นอนพัก ยกศีรษะให้สูงกว่าระดับหัวใจ
*ภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก หลังเลือดกำเดาไหล 
ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ, การแคะจมูก, การกระทบกระเทือนบริเวณจมูก, การออกแรงมาก, การเล่นกีฬาที่หักโหมหรือยกของหนัก เพราะอาจทำให้มีเลือดออกซ้ำได้

ถ้าเลือดออกไม่หยุดหรือออกมากผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ทันที


เลือดกำเดาไหล,เลือดออกที่จมูก



ที่มาของรุปภาพ : Google.com













Monday 25 June 2012

หรือฉันจะเป็น...โรคย้ำคิดย้ำทำ(Obsessive Compulsive Disorder)

เอ๊ะ!!  เมื่อกี้เราปิดก๊อกน้ำรึยังนะ
เอ๊ะ!!  เมื่อกี้เราปิดปลั๊กไฟรึยังนะ
เอ๊ะ!! เมื่อกี้เราล้างมือรึยังนะ
เอ๊ะ!! ... เอ๊ะ!! แล้วก้เอ๊ะ!!
เคยเป็นกันบ้างมั้ยคะผู้อ่านทุกท่าน

อาการต่างๆที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาการในโรคย้ำคิดย้ำทำ
(Obsessive-Compulsive Disorder)
โรคย้ำคิดย้ำทำ คืออะไร ??
โรคย้ำคิดย้ำทำ คือโรควิตกกังวลชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยนั้นจะมีลักษณะทำอะไรซ้ำๆ คิดซ้ำๆ ว่าง่ายๆคือ มีการกระทำและความคิดที่ซ้ำๆนั่นเอง และการกระทำกับความคิดนั้นที่ซ้ำๆนั้นเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล

เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคย้ำคิดย้ำทำกันนะคะ


อาการย้ำคิด(Obsessive)
เป็นอาการที่ผู้ป่วยนั้นจะมีความคิดแรงผลักดันจากภายในจิตใจให้คิดกระทำอะไรสักอย่างอย่างซ้ำๆ ซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ผู้ป่วยเองจะมีความคิดต่อต้านต่อการกระทำนั้นๆอีกด้วยนะคะ เป็นความทุกข์ทรมานอย่างมากและน่าเห็นใจอย่างยิ่งเลยคะ เช่น
-ผู้ป่วยคิดว่ามือตนเองสกปรกตลอดเวลา ทั้งๆที่มือตนเองสะอาดดี
-ผู้ป่วยที่มีความรู้สึกกลัวอันตราย กลัวแก๊สหุงต้มในบ้านระเบิด ทั้งๆที่แก๊สหุงต้มปกติ
-ผู้ป่วยที่มีความคิดที่ดูถูกศาสนา ดูถูกพระพุทธรูปตลอดเวลา 


อาการย้ำทำ(Compulsive)
ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมซ้ำๆ เป็นผลพวงมาจากอาการย้ำคิดนั่นเองคะ เช่น
-ผู้ป่วยคิดว่ามือตนเองสกปรกตลอดเวลา ก็จะเดินไปล้างมือตลอดเวลาเหมือนกัน
-ผู้ป่วยที่มีความรู้สึกกลัวอันตราย กลัวแก๊สหุงต้มในบ้านระเบิด ก็จะเดินไปปิดวาวล์แก๊สบ่อยๆ
-ผู้ป่วยที่มีความคิดที่ดูถูกศาสนา ดูถูกพระพุทธรูปตลอดเวลา แต่ในใจพอมีภาพแบบนี้ขึ้นมาก็จะกระทำการสวดมนต์ออกมาเพื่อต้านความคิดของตนเอง

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรค
1.ระบบสื่อนำสารในประสาทมีความปกติที่ส่วนของSerotonin
2.มีการทำงานของสมองมากขึ้นในส่วนของ Head of caudate nucleus, Orbitofrontal cortex, Cingulate cortex 
3.เกิดจากทฤษฎีการเรียนรู้


การรักษาในโรคนี้มี2ทางด้วยกันคือ
*ด้านพฤติกรรมบำบัด
(เพื่อให้ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวลงได้)
- ในกรณีของผู้ป่วยที่จะล้างมือบ่อยๆเพราะมีความคิดว่ามือของตัวเองนั้นสกปรกเปื้อนเชื้อโรค
ผู้ที่บำบัดจะคอยแนะนำให้ผู้ป่วยรอสักระยะอาจจะ2-3ชั่วโมงถึงจะให้ไปล้าง เพื่อให้ผู้ป่วยเผชิญกับความจริงที่คิดไปเองคะ
*ด้ายยา
แพทย์จะให้ยาที่มีฤทธิ์การจับตัวของสารสื่อนำประสาท Serotonin เป็นต้น

**หากเราทำความเข้าใจกับโรคนี้เเล้วจะทำให้ทราบว่า ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตนั้น เป็นผู้ป่วยที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเกิดการเจ็บป่วยที่ร่างกายแต่มีผลต่อจิตใจอีกด้วยคะ ...
สิ่งที่ดีสุดเเละเป็นยาที่ดีที่สุดคือ คอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆตลอดไปนะคะ ^^


Anxiety,วิตกกังวล


ที่มารูปภาพ : Google.com

Saturday 23 June 2012

ท้อง(ป่องๆนี้)...ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

วันนี้เราก็ยังคงวนเวียนๆอยู่ภายในระบบช่องท้องกันอยู่นะคะ...ยังไม่ไปไหนไกล
เรื่องนี้ที่จะกล่าวให้ได้อ่านกัน เป็นเรื่องที่เจ้าของBlogถูกเพื่อนๆพี่ๆเข้ามาปรึกษาเยอะพอควรเลยทีเดียว
เรื่องที่จะเอ่ยถึงนี้คือ"ภาวะการตั้งครรภ์"
ซึ่งจะกล่าวถึงอาการที่บ่งบอกว่า ผ้หญิงคนหนึ่งกำลังจะมีสิ่งที่มีชีวิตอีกคนหนึ่งอยู่ในร่างกายนั่นเอง

อาการของคนท้อง เป็นยังไง ??

อาการที่บ่งบอกว่าคุณตั้งครรภ์อย่างแน่นอนไม่มั่วนิ่ม
1.ประจำเดือนไม่มา
-การที่ประจำเดืิอนไม่มาหรือประจำเดือนขาดนั้น ถือว่าเป็นสัญญาณชัดเจนที่สุด(ในผู้ที่มีประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอนะคะ)เพราะการที่ประจำเดือนไม่มานั้นมีด้วยกันหลายสาเหตุ จากความเครียด//ร่างกายอ่อนแอ ไม่สบายเป็นต้น

2.อ่อนเพลียง่าย//มีอาการเหนื่อยง่ายมากขึ้น//ง่วงนอนตลอดเวลา
-เป็นผลพวงมาจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกายนั่นเอง เพื่อให้ร่างกายของเราเตรียมพร้อมกับการตั้งครรภ์ ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างวันของหญิงที่ตั้งครรภ์คะ จะมีชีพจรเต้นเร็วขึ้นอีกด้วย ทำให้ร่างกายต้องการการพักผ่อน

3.วิงเวียนศีรษะ+คลื่นไส้อาเจียน
-อาการนี้ถือว่าเป็นอาการแพ้ท้อง ส่วนใหญ่จะมีอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียนในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้าๆ บางรายอาจเป็นในช่วงเย็นๆได้คะ หรือบางคนนี่เป็นทั้งวัน อาเจียนตลอด รับประทานอาหารได้น้อย ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แล้วก็เลยเกิดอาการวิงเวียนศีรษะนั่นเอง



4.คัดตึงเต้านม
-อันเนื่องมากจากฮอร์โมนในร่างกายเพิ่มขึ้นจะมีเส้นเลือดมาเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น มีผลทำให้ เต้านมขยายใหญ่ขึ้น หัวนม(Nipple)มีสีคล้ำขึ้นและตั้งชูเเละเจ็บมากขึ้นคะ


5.จมูกไวต่อกลิ่น
-เมื่อตั้งครรภ์แล้วนั้นระบบประสาทการรับดมกลิ่นของหญิงตั้งครรภ์จะไวมากๆ ยิ่งโดยเฉพาะต่ออาหารสด ของฉุนเป็นต้น ในบางรายถึงขั้นแพ้กลิ่นตัวของสามีเลยทีเดียว หรือแม้กระทั้่งกลิ่นน้ำหอม กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เคยใช้เป็นประจำ



6.ปัสสาวะสีเข้มและปัสสาวะบ่อยขึ้น
-อาการนี้เกิดจากการที่มดลูกมีขนาดโตขึ้นแล้วไปกดกระเพาะปัสสาวะเลยทำให้เกิดการปัสสาวะบ่อยขึ้น และเมื่อฮอร์โมนเพิ่มขึ้น มีเลือดมาเลี้ยงมาคั่งที่ระบบเชิงกรานมากขึ้น จึงทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นและมีสีเข้มขึ้น


7.ท้องผูก
-เมื่อตั้งครรภ์เเล้วจะทำให้ระบบลำไส้ใหญ่นั้นบีบตัวน้อยลง และเมื่อขนาดครรภ์ใหญ่ขึ้นจะยิ่งทำให้ท้องผูกเพิ่มขึ้น จากการที่มดลูกนั้นไปกดทับลำไส้ใหญ่

8.รู้สึกมีรสชาติแปลกๆอยู่ในปาก
-เป็นผลจากการเกิดกรดไหลย้อน เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นทำให้หลอดอาหารอ่อนแอลงและรวมถึงขนาดมดลุกที่ใหญ่เพิ่มขึ้นและมากดที่กระเพราะปัสสาวะ จึงทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อนได้

9.มีความรู้สึกอยากทานอาหารแปลกๆ
-ฮอร์โมนที่เพิ่มระดับมากขึ้น ทำให้การรับรสชาดแปลกไป อยากลองอาหารที่แปลกใหม่ทั้งที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน

10.ผลจากการตรวจสอบการตั้งครรภ์
-การทดสอบการตั้งครรภ์นี้จะมีความแม่นยำมากเมื่อทำการตรวจสอบหลังจากเกิดการปฏิสนธิได้10-14วัน เนื่องจากเป็นการตรวจหาฮอร์โมนHcg ซึ่งจะดีมากเมื่อทำการตรวจปัสสาวะในช่วงตื่นนอนตอนเช้าตรู่ เพราะฮอร์โมนเยอะ และมีความแม่นยำสูงเลยทีเดียวคะ แต่ยังไงก็ตามควรตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากการตรวจครั้งเเรกไปแล้ว1สัปดาห์นะคะ เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งคะ


**ยังงัยก็ตามแต่ควรมีครรภ์เมื่อพร้อมนะคะ จะได้ไม่กลายเป็นปัญหาตามมาให้แก้ไข ทุกสิ่งจะดีเสมอเมื่อเราพร้อมที่จะมีคะ

อาการคนท้อง



ที่มารูปภาพ : Google.com

Friday 22 June 2012

ไอ้...ไส้ติ่ง!!

เมื่อบทความที่แล้วได้กล่าวถึงไส้เลื่อนไป อ๊ะ คราวนี้เขยิบขึ้นมากันสักหน่อยนะคะ
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากไส้เลื่อนเท่าไหร่คะ

--- ไส้ติ่ง//Appendix ---
ไส้ติ่งคืออวัยวะส่วนหนึ่งภายในร่างกาย เป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ ภายในเป็นเนื้อเยื่อและมีต่อมน้ำเหลืองอยู่ หน้าและบทบาทในมนุษย์เราไม่มีเลยคะ (เวลาใครด่าว่า เป็น ไอ้ไส้ติ่ง..นี่มันเจ็บมากเลยง่ะ) แต่ในสัตว์จำพวกกินพืชเคี้ยวเอื้อง ไส้ติ่งจะมีหน้าที่ย่อยอาหารนั่นเองคะ อ่าา พอมีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง ^^

แล้วถ้าจู่ๆไส้ติ่งอันนี้มันเกิดอักเสบขึ้นมาละ 
---ไส้ติ่งอักเสบ//Appendicitis---
คือภาวะที่ไส้ติ่งมีการอุดตันเกิดขึ้น จากอุจจาระที่เคลื่อนจากลำไส้ใหญ่เกิดผลัีดลงเข้าสู่ไส้ติ่งจนเกิดการติดเชื้อในตอมน้ำเหลืองที่อยู่ในไส้ติ่งนั่นเอง
อาการแสดงอย่างไรจึงถือว่าเกิดภาวะไส้ติ่งอีกเสบขึ้นกับเราแล้ว??
1.ระยะไส้ติ่งอุดตัน
มีอาการปวดท้องแบบกระทันหัน มักจะปวดรอบๆสะดือ+เบื่ออาหาร+จุกแน่นในช่องท้อง
2.ระยะไส้ติ่งบวมโป่งขึ้น
(เนื่องมาจากเชื้อโรคที่ติดเชื้อนั้นเริ่มลามออกมาที่เนื้อเยื่อชั้นนอกของไส้ติ่ง)
จะมีอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้นและย้ายบริเวณมาปวดที่แถวๆท้องน้อยด้านขวา+มีอาการท้องเสียหรือท้องผูกเกิดขึ้นได้ เดินหรือขยับจะปวดมาก ต้องอยู่นิ่งๆ หรืออาจต้องนอนงอเข่าขึ้นมา1ข้าง //ยืนตัวงอจะช่วยบรรเทาปวด
3.ระยะไส้ติ่งอักเสบแตกกระจายในช่องท้อง
ระยะนี้อันตรายอย่างมากเลยคะ อันตรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เนื่องจากมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น + มีไข้ร่วมด้วย

การวินิจฉัย
ส่วนใหญ่แล้วเเพทย์จะวินิจฉัยอาการไส้ติ่งอักเสบจากการซักประวัติของอาการปวดท้องและจากการตรวจร่างกาย(ตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะ) หรือในบางรายอาจจะต้องมีการX-Ray คอมพิวเตอร์เพิ่ม (แล้วแต่กรณีไป)

การรักษา
**ในผู้ป่วยทุกรายที่เกิดไส้ติ่งอักเสบนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก

**ไส้ติ่งเป็นอวัยวะเล็กๆ เเต่หากมันเกิดประท้วงร่างกายเราขึ้นมา เกิดอักเสบแล้วล่ะก้ไม่ใช่เรื่องเล้กเลยนะคะ ดังนั้นผู้อ่านทุกท่านควรพึงสังเกตุอาการ เจ็บท้องรอบๆสะดือ--ย้ายมาที่บริเวณท้องน้อย--เบื่ออาหาร--จุกแน่น--ท้องเสียหรือท้องผูก +มีไข้สูงงง
หากมีอาการเหล่านี้เเล้วควรรีบมาพบแพทยืเพื่อให้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีนะคะ ^^


ไส้ติ่งคืออะไร


ที่มาของรูปภาพ : Google.com



Wednesday 20 June 2012

ตะคริว!!...อาการนี้อย่างกับสัญญานโทรทัศน์ขาดหาย

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอกับอาการนี้มาก่อน

ตะคริวววววววววว!! เป็นทีแทบจะร้องไห้ ขยับขาไปไหนไม่ได้เลย
(แล้วความรู้สึกจะเหมือนสัญญานโทรทัศน์ขาดหายกลายเป็นเม็ดซ่าๆๆ ขาวดำๆๆ นั่น) >'<
เป็นทีนึงทรมานจิตใจมากอ่ะ มีใครเป็นเหมือนกันมั้ยคะ แต่เราทราบหรือไม่ว่า ตะคริวนั้นเกิดจากอะไร เรามาทำความรู้จักอาการนี้ไปพร้อมๆกันดีกว่าคะ


ตะคริว
คืออาการที่มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นอย่างรุนแรงและเป็นเวลา หรือเมื่อมีการเสียเหงื่อมากๆทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ ชนิดแมกนีเซียมอย่างมาก หรือในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มีการสูญเสียแคลเซียมไปที่ตัวอ่อน ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่ดี

สาเหตุของการเกิดตะคริว
*กล้ามเนื้อเเละเอ็นมีการหดรั้งตัวมากเกินไปไม่มีความยืดหยุ่นเป็นระยะเวลานาน
*การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อนั้นๆไม่ดีพอ
*การอดอาหารลดน้ำหนักก็ทำให้เป็นตะคริวบ่อยๆได้ เนื่องจากได้รับสารอาหาร เกลือแร่ไม่เพียงพอ *ท้องเสียมากๆ สูญเสียน้ำและเกลือแร่มากเกินไป
*ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน


การป้องกัน
1.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอคะ อันนี้สำคัญมากๆใช้ป้องกันได้ทุกโรคเลยนะคะ
2.รับประทานอาหารให้ครบ5หมู่
3.รับประทานน้ำเปล่าอย่างเพียงพอ 8-10แก้วต่อวัน
4.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง
5.ฝึกการยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ โดยการกระดกปลายเท้าขึ้นลง บ่อยๆ เหยียดขาแล้วเอามือแตะที่ปลายขาเป็นต้น
6.ในรายที่เป็นบ่อยๆให้ไปพบแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาต่อไปคะ



ขาเป็นตะคริว

Tuesday 19 June 2012

ภาวะไส้เลื่อน...น่าอายรึน่ากลัว!!

เมื่อวานเราได้อัพเดตความรู้เกี่ยวกับคุณผู้หญิงโดยเฉพาะแล้วนะคะ ในวันนี้เรามาทราบภาวะที่สามารถเกิดขึ้นเป็นบ่อยๆในคุณผู้ชายดีกว่าคะ ภาวะที่จะกล่าวคือ "ภาวะไส้เลื่อน" หรือ Hernia

ภาวะไส้เลื่อน
เป็นโรคที่พบบ่อยในเพศชาย เป็นภาวะที่มีลำไส้บางส่วนเลื่อนออกมาตุงตรงบริเวณที่ผนังหน้าท้อง จะปรากฏให้เราเห็นเป็นก้อน บวม ที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งของผนังหน้าท้อง//ขาหนีบ ซึ่งจะมีลักษณะผลุบๆโผล่ๆ ไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด

สาเหตุที่ทำให้เกิดไส้เลื่อน
ส่วนใหญ่เเล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดไส้เลื่อนนั่นคือ การที่ผนังหน้าท้องมีความอ่อนแอ/หย่อน ผิดปกติเมื่อมีการอ่อนแอของผนังบุช่องท้องเกิดขึ้นพร้อมกับความดันในช่องท้องมีมากจนเกิดผลักดันลำไส้ที่อยู่ภายในไหลเลื่อนทะลักเข้าไป จนทำให้โป่งออกมาจนเห็นเป็นก้อนๆ คลำได้ ผลุบๆโผล่ๆนั่นเอง


ประเภทของไส้เลื่อนนั้นมี3ประเภท ได้แก่
1.Umbilical Hernia //ไส้เลื่อนที่สะดือ 
หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า สะดือจุ่น >>จะมีอาการตั้งแต่แรกเกิดและสามารถหายไปได้เองก่อนที่จะอายุ2ขวบ

2.Inguinal Hernia //ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ
ผู้ป่วยไส้เลื่อนประเภทนี้จะมีอาการผิดปกติของเยื่อบุผนังช่องท้องผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดแต่อาการต่างๆจะมาปรากฏเมื่อโตเป็นหนุ่มสาวหรือเมื่อมีโรคต่างๆกระตุ้นทำให้มันเกิดขึ้นมา เช่นโรค ไอเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง
--ผู้ป่วยสามารถสังเกตอย่างชัดเจนได้เมื่อยืน ไอ จาม หรือเวลาที่ยกของหนักๆ โดยเห็นเป็นก้อนตุงที่บริเวณขาหนีบหรืออัณฑะ เวลานอนก้อนจะหายไป และไม่มีอารเจ็บปวดใดใด


3.Incisional Hernia//ไส้เลื่อนที่เกิดจากหลังผ่าตัด
จะเกิดขึนเมื่อผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดที่บริเวณช่องท้องแล้วทำให้ผนังช่องท้องเกิดหย่อนผิดปกติ เมื่อความดันในช่องท้องมากขึ้้น จึงผลักให้ลำไส้เคลื่อนตัวลุงมาอยู่ที่บริเวณนั้น
--ผู้ป่วยจะสามารถสังเกตได้เช่นเดียวกับอาการของไส้เลื่อนที่ขาหนีบ แต่ในกรณีของไส้เลื่อนหลังผ่าตัดนั้น เมื่อนอนหงายก้อนจะไม่หายไปเลย แต่จะมีขนาดเล้กลงเท่านั้นเอง จะดีขึ้นเมื่อได้รับการรักษาโดยวิธีการผ่าตัด


การรักษา
**หากเมื่อเราคลำพบหรือเจออาการไส้เลื่อนแล้ว ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และแยกออกจากโรคอย่างอื่นเช่น ฝี มะเร็ง เป็นต้น
           ส่วนใหญ่แล้วหากแพทย์ตรวจเจอว่ามีภาวะไส้เลื่อน เพื่อจะพิจารณาการรักษาตามความเหมาะสมของอาการที่ตรวจพบ หากผู้ป่วยบางท่านคลำได้เป็นก้อน ขนาดเล็กไม่มีอาการเจ็บปวด แพทย์อาจจะให้สังเกตุอาการไปก่อน ซึ่งสามารถรอได้เป็นปีๆเลยทีเดียว แต่หากในรายที่คลำก้อนแล้วปวด และมีอาเจียนร่วมด้วยนั้นแพทย์จะต้องทำการผ่าตัดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นในภายหลังอย่างเร็วที่สุด


ภาวะไส้เลื่อน

ที่มารูปภาพ : Google.com





Monday 18 June 2012

ตกขาว...ใครๆก็เป็น(ใช่มั้ย)นะ

ภาวะการเจ็บป่วยของร่างกายมีเยอะแยะมากมายให้ศึกษาและค้นคว้า
ทางเจ้าของBlogก็พยายามเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุด ใกล้ตัวที่สุดสำหรับผู้อ่าน เผื่อความรู้เล้กๆน้อยๆจากBlogนี้จะสามารถเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านได้ ^^
และหัวข้อในวันนี้ไม่ไกลจากผู้หญิงสักคนเลยนะคะ เชื่อว่าทุกคนล้วนต้องเคยเป็นหรือเป็นอยู่
หัวข้อที่จะนำเสนอคือ ภาวะตกขาว

ตกขาว คืออะไร ใครรุ้บ้าง เกิดคำถามในใจกันมั้ยคะ
ตกขาวหรือบางคนอาจจะเรียกว่า ระดูขาว นั้น คือ ของเหลวใดๆก็ตามแต่ที่ถูกสร้างขึ้นจากช่องคลอด อวัยวะข้างเคียงปากช่องคลอด ปากมดลุก นั่นเองคะ
ภาวะตกขาวนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไปตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จากสถิติในโรงพยาบาลในแผนกสูตินรีเวชนั้น มักจะพบว่า สาวๆส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์เพราะตกขาวเกิดกลิ่น เกิดสีที่แปลกไปจากเดิม///

แล้วตกขาวทีปกติเป็นอย่างไรกันนะ
ตกขาวจะเกิดขึ้นในผู้หญิงวัยเจริญพันธ์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อลักษณะของของเหลวที่สร้างขึ้นมาจากอวัยวะภายในหรือเรียกง่ายๆว่า มีผลต่อภาวะตกขาวนั่นเอง เช่น 
- ในช่วงของกึ่งกลางในการมีประจำเดือน จะเป็นช่วงที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ตกขาวในช่วงนี้จะมีลักษณะใสจะมีปริมาณมากกว่าช่วงอื่นใดทั้งสิ้น
-ส่วนตกขาวในระยะเวลาอื่นนั้น จะมีลักษณะขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก
ตกขาวที่ปกติ ต้องงงงงงง!! ไม่คัน ไม่มีกลิ่น ส่วนปริมาณนั้นขึ้นอยู่กับการสร้างของบุคคล บางท่านอาจมีตกขาวเยอะมากกกกกจนเปื้อน ชุดชั้นใน ก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ถือว่าเป็นสิื่่งปกติคะ

แล้วลักษณะอย่างไร จึงเรียกว่า ตกขาวที่ผิดปกติ??
ลักษณะของตกขาวที่ผิดปกติคือ ตกขาวมีสีน้ำตาล คัน และมีกลิ่นเหม็น
เกิดขึ้นได้อย่างไร??
สาเหตุส่วนใหญ่คือเกิดจากการติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ
1.ตกขาวที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อนั้น เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ราและพยาธิ (แอบน่ากลัวเน๊อะ >,<)
- การติดเชื้อจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ เช่น โรคเริม
- การติดเชื้อจากแบคทีเรีย เช่นโรคหนองใน (จะมีตกขาวสีเหลืองจัด+มีปัสสาวะแสบขัดได้) เป็นต้น ส่วนลักษณะของตกขาวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบได้อีกคือ จะมีสีเหลืองค่อนข้างไปทางเขียว มีกลิ่นคาว มีอาการคันร่วมด้วย
-การติดเชื้อจากเชื้อรา ส่วนใหญ่จะมาจากการใช้ยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะ//ใช้น้ำยาสวนล้างช่องคลอด หรือในผู้ที่มีภาวะภูมิต้านทานต่ำ ลักษณะจะเป็นสีขาวเป็นก้อนๆคล้ายนมที่ทารก อ้วกออกมา+คัน 
-การติดเชื้อจากพยาธิ ส่วนใหญ่จะติดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะมีลักษณะเป็นสีเหลือง+มีฟอง+มีกลิ่นออกเปรี้ยวๆและมีอาการคันร่วมด้วย
2.ตกขาวที่มีสาเหตุจากการไม่ติดเชื้อนั้น เกิดจากการป่วยเป็นโรคมะเร็งในอวัยวะสืบพันธ์สตรี การมีสิ่งแปลกปลอม การระคายเคือง เป็นต้น

เมื่อเรามีอาการผิดปกติต้องทำอย่างไร
ผู้ที่มีตกขาวผิดปกติในที่นี้ได้แก่ มีสีเปลี่ยนไปจากเดิม มีกลิ่นเหม็น มีอาการคันร่วมด้วย ควรมาพบแพทย์สูตินรีเวชเพื่อตรวจและรักษาอย่างถูกวิธีต่อไป

**อย่าลืมสังเกตุอาการที่ใกล้ตัวสำหรับเรากันนะคะคุณผู้หญิงทั้งหลาย หรือแม้แต่ท่านผู้ชายที่อ่านก็บอกต่อคนที่คุณรักให้พึงระวังในภาวะแบบนี้กันนะคะ




ตกขาวผิดปกติ,ตกขาวปกติ


ที่มาของรูปภาพ : Google.com

Saturday 16 June 2012

"Nymphomania" โรคนี้ตะหากที่...ผู้หญิงขาดผู้ชายไม่ได้

Blogที่แล้วของเราได้กล่าวถึงโรคHysteriaไปแล้วว่าคือโรคอะไร ท่านผู้อ่านคงได้คำตอบกันไปแล้วนะคะ ว่าพวกเราส่วนใหญ่เข้าใจผิดที่คิดว่าโรคHysteria คือโรคที่ผู้หญิงขาดผู้ชายไม่ได้ หรือโรคที่ผู้หญิงมีความต้องการทางเพศอยู่ตลอดเวลา
ในวันนี้เจ้าของblogจะขอนำเสนอโรคที่พวกเราเข้าใจผืิดคิดว่าเป็นโรคHysteriaก็คือ โรค"Nymphomania"นั่นเองคะ

Nymphomania
หากเรานำชื่อโรคมาAnalysisเพื่อหาความหมายของมันเเล้วนั้นคือ
Nympho หมายถึง ผู้หญิงที่มีความต้องการทางเพศสูง
Mania     หมายถึง ความคลั่งไคล้หรือความบ้าคลั่ง
เมื่อเรานำสองคำนี้มารวมกัน 
Nymphomania จึงหมายถึงโรคที่ผู้หญิงมีความคลั่งไคล้ในเรื่องความต้องการทางเพศอย่างผิดปกติ

         โรคนี้มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่19แล้วนะคะ แต่สมัยก่อนนั้นโรคนี้แพทย์วินิจฉัยว่า เป็นโรคที่เกิดจากทางด้านกายภาพ คือผู้ป่วยมีความผิดปกติของกลีบสมองเนื่องจากการได้รับสารเสพติด
แต่ในปัจจุบันนี้โรคนี้ได้ถูกวินิจฉัยแล้วว่าเป็น"โรคที่มีอาการป่วยทางจิต"
อันมีสาเหตุมาจาก มีอารมณ์แปรปรวน มีความต้องการทางเพศมากเกินไป การได้เห็นคนมีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่ในวัยเด็ก หรือป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

อาการของโรค
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะมีความต้องการทางเพศอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เลือกว่าต้องเป็นใคร เมื่อได้รับการตอบสนองทางเพศแล้วจะกี่ครั้งก็ตามหรือเพิ่งสิ้นสุดกิจกรรม ผู้ที่ป่วยโรคนี้ก็จะต้องการมีกิจกรรมทางเพศต่อทันที >,<
โรคนี้ไม่ได้เป็นในผู้หญิงเท่านั้นนะคะ ยังเป็นในผู้ชายด้วยคะ เราจะเรียกโรคนี้ว่า "Satyriasis" ...ผู้ชายที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะมีความต้องการทางเพศตลอดเวลาเช่นเดียวกัน และยังหมกหมุ่นกับการช่วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา//หรือหลายๆครั้งใน1วันอีกด้วย

**โรคที่เกิดขึ้นมานี้ หากได้รับการบำบัด การรักษาที่ถูกวิธีก็จะทำให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้นะคะ



ภาวะความต้องการทางเพศสูง


ที่มาของรูปภาพ : google.com


Thursday 14 June 2012

แท้ที่จริงกับ...Hysteria

แค่ชื่อหัวข้อเรื่องในวันนี้...คงคิดกันไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วใช่มั้ยคะ ^0^
ทราบมั้ยคะว่า ความหมายที่แท้จริงของ Hysteriaจริงๆแล้วคืออะไร???
เเละมีอาการอย่างไร เป็นโรคใช่หรือไม่???
เป็นแต่เฉพาะในผญใช่หรือไม่ ...เข้าใจผิดละคะ Hysteriaนี่เป็นได้ทั้งในเพศญและเพศชายนะคะ 
เราจะมาทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันเลยนะคะ...Let's Go
Hysteria คืออะไร??
Hysteria 
หลายคนหรือคนส่วนใหญ่พอได้ยินถึงชื่อนี้เเล้วมักเข้าใจกันว่า มันคือ"โรคที่ผู้หญิงมีความต้องการทางเพศสูง"...มักมากในกามารมณ์ แต่ขอบอกเลยคะว่า เป็นความเข้าใจผิดนะคะ
Hysteriaแท้ที่จริงแล้วเป็นอาการป่วยทางด้านบุคลิกภาพและทางด้านระบบประสาท ดังนี้คะ
*Histrionic Personality Disorder หรือ  Hsyteria ทางด้านบุคลิกภาพ
        คนพวกนี้จะแสดงออกที่เกินความเป็นจริงเพื่อดึงดูดความสนใจมาที่ตนเอง  จะมีบุคลิกแสดงออกหรือลีลาท่าทางเหมือนการแสดงจะดูคล้ายกับยั่วยวนเพศตรงข้าม จึงทำให้คนส่วนใหญ่นั้นเข้าใจผิดคิดว่าบุคลิกของคนที่ป่วยโรคนี้มีความต้องการทางเพศสูง แม้จริงแล้วคนประเภทนี้ จะมีความเป็นเด็กสูงมาก จะแสดงถึงความเอาแต่ใจ ต้องการมีคนมาสนใจอยู่ตลอดเวลามักจะขาดความมั่นใจซะด้วยซ้ำหากตนเองไม่ได้เป็นจุดสนใจหรือจุดศูนย์กลาง  ซึ่งมักเกิดจากการขาดความรัก ความอบอุ่นนั่นเอง
 (น่าสงสารนะคะ) ของช่วงหนึ่งในชีวิตที่มีความต้องการความรักมากๆนั่นเอง
*โรคประสาทHysteria มีอยู่2แบบคือ
1.Conversion Reaction
  คือคนที่มีอาการป่วยทางด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียด กังวล//มีความขัดแย้งในใจอย่างมากและคนเหล่านี้จะแสดงออกมาในรุปของการผิดปกติที่ระบบเคลื่อนไหวของร่างกาย
เช่น เป็นอัมพาต  กล้ามเนื้อไม่มีแรง แขนและขาชา เสียการทรงตัว จมูกไม่ได้กลิ่น พุดไม่มีเสียง เป็นต้น
มักเกิดหลังจากที่เสียใจมากๆ ผิดหวัง หรือเมื่อเกิดความเครียดสูง
2.Dissociative Type
คือคนที่สูญเสียความทรงจำบางอย่างที่กระทบกระเทือนจิตใจจนไม่ต้องการจะจำ ไม่อยากรับรู้
เช่น การจากไปของคนในครอบครัว ในรูปแบบของการไปเที่ยวเล่นกับครอบครัว แต่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกันหมดยกเว้นตัวผู้ป่วยเอง เหตุการณ์เหล่านั้นกระทบกระเทือนจิตใจผู้ป่วยอย่างมากจนทำให้ผู้ป่วยไม่อยากรับรุ้ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
หรือการลืมตัวตนของตนเอง อาจจะมีการเสียการรับรู้ถึงตัวบุคคล เวลา และสถานที่ได้  เช่นพวกที่มีอาการผีเข้า(โดยไม่ได้แกล้งเสแสร้งทำนะคะ)
**จากที่กล่าวมาข้างต้นพอเข้าใจถึงความหมายของคำว่าHysteria กันรึยังคะ จริงๆแล้วคนเหล่านั้นน่าสงสารนะคะ แต่ถุกสังคมมองเข้าใจผิดคิดว่าคนที่ป่วยประเภทนี้คือคนที่บ้ากาม ต้องการมีกิจกรรมทางเพศอยู่ตลอดเวลา หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วโรคที่มีความต้องการทางเพศสูงนั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างนึงตะหากละคะ...เอาไว้วันพรุ่งนี้จะมาเอ่ยถึงโรคนี้ให้ทราบกันนะคะ ^^


ฮีสทีเรียคืออะไร


ที่มารูปภาพ: Google.com

Wednesday 13 June 2012

เจาะเลือด(ปลายนิ้ว)ด้วยตัวเอง...ง่ายนิดเดียว


           เจาะเลือดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!

                แค่คำว่าเจาะเลือด คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินก็สะดุ้งกันซะหมดแล้ว  กลัวเข็ม กลัวเจ็บ เหตุผลต่างๆนานา บางคนถึงขั้นไม่ยอมเจาะเลือดส่งตรวจก็มี นั่นยังว่าให้พยาบาลที่เชี่ยวชาญเจาะให้ แต่นี่...เราต้องเจาะเอง หื้มมมมมมม
จะทำได้มั้ย และทำไมต้องทำ??
                ผู้ป่วยรายไหนบ้าง? ที่ต้องมีความจำเป็นในการที่ต้องมานั่งเจาะเลือดด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่ต้องเจาะเลือดแล้วบันทึกผลอย่างสม่ำเสมอคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน นั่นเอง เพราะผู้ป่วยประเภทนี้ จะมีระดับน้ำตาล ขึ้นลง ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยยาฉีด จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเจาะเลือดประเมินผลในทุกครั้งก่อนได้รับการฉีดยาลดระดับน้ำตาลในเลือด
                แล้วต้องเจาะตรงไหน??เจาะอย่างไร??
การเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองนั้น เราจะเจาะจาก ปลายนิ้ว ของเรานั่นเอง ปลายนิ้วข้างไหนก็ได้แล้วนิ้วไหนก็ได้ แต่นิ้วที่ดีที่สุดคือ นิ้วกลาง เนื่องจาก ปลายประสาทที่นิ้วกลางมีน้อยกว่าบริเวณอื่นๆและมีบริเวณผิวหนังหนากว่านิ้วอื่น การรับรู้การเจ็บปวดจึงน้อยกว่านิ้วอื่นอีกด้วย
วิธีหรือขั้นตอนในการเจาะเลือดปลายนิ้ว มีดังนี้
เตรียมอุปกรณ์ ให้พร้อม ได้แก่ เข็มเจาะ (ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง และที่สำคัญ ไม่ใช้ร่วมกับใคร) สำลี
70%แอลกอฮอล์ พลาสเตอร์ปิดแผล เครื่องอ่านผล
-         เริ่มแรกเลย เราเอาสำลีชุบ 70%แอลกอฮอล์ พอชุ่ม หลังจากนั้นก็เอาสำลีที่ชุ่มมาเช็ดที่ปลายนิ้วที่เราเลือกไว้ โดยวิธีเช็ด ต้องหมุนวนจากด้านใน ออกมาด้านนอก ในลักษณะ ทวนเข็มนาฬิกาหรือหมุนตามเข็มนาฬิกาก็ได้
-         หลังจากทำความสะอาดแล้ว จากนั้นก็ถอดปลอกเข็มออก และเจาะลงที่ปลายนิ้ว ที่เราเลือกไว้
-         เมื่อเลือดออกมา ก็ให้หยดเลือดลงที่ตัวอ่านผล/เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด 
-         เอาสำลีแห้งมากดที่บริเวณรอยเจาะเลือดทิ้งไว้สักครู่(ประมาณ1นาที) หลังจากนั้นปิดด้วย
พลาสเตอร์ปิดแผล
-         รอเครื่องอ่านผล จดและบันทึกค่าลงสมุด เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

 "แค่นี้เอง ง่ายนิดเดียว ปลอดภัยหายห่วง ไม่ติดเชื้อ
 และเจ็บด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่เจ็บเพราะใครที่ไหนด้วยนะ"


ที่มารูปภาพ : google.com


                 

Tuesday 12 June 2012

ICU...ครั้งหนึ่งในชีวิต3(ภาคต่อ)


มาต่อกันที่ภาค3...
(แม้จะไม่มีใครติดตามก็ตามเถอะ // คิดซะว่าเขียนนิยายเก็บไว้อ่านเองละกัน  555+)

  เหตุการณ์ระทึกที่ว่านี้ เยอะคะ และเจอประจำ (นานๆทีถึงจะมีดวงคุณนายกับเขา ฮืออออ
 เรื่องที่เล่านี้//ไม่ได้เอ่ยชื่อ โรค หรือสิ่งที่เกี่ยวกับคนไข้อย่างชัดเจน 
และเจ้าของblogมิได้มีเจตนาที่จะนำความเสื่อมเสียให้แก่คนไข้หรือต้องการผิดจรรยาบรรณแต่         อย่างไรนะคะ
  เพียงแค่อยากเล่าและแฝงถึงบางสิ่งที่มีในเหตุการณ์นี้เท่านั้นเอง
 (หากข้อความบทนี้ ไปกระทบต่อความเห็นของผู้ใด ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)

คนไข้คนนี้เป็นอีกเคสในความดูแลของเจ้าของblogเอง  แกได้รับการผ่าตัดอย่างนึงมา แล้วพอดีว่าแกมีความเสี่ยงต่อการจะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด หมอเลยต้องขอเตียงในICUไว้
หลังจากรับเวร เรียบร้อย รุ้อาการคนไข้ละว่าต้องดูแล เฝ้าระวังอะไรบ้าง
ซึ่งวันนั้นเป็นช่วงเวรดึกที่เราได้ขึ้นปฏิบัติงาน ระหว่างช่วงที่เวลาเดินไปเรื่อยๆ24.00-8.00น.
บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดมากคะ!!
สู้กะคนไข้แก มันส์มากกกกกก ทั้งถีบพยาบาล ขอใช้คำนี้คะ เพราะถีบโดนหัวนู๋จิงๆ แอบมึนเล้กน้อย
คนไข้แกดิ้นมากกกก โวยวายใหญ่เลยว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ ทำอะไรต้องมีพิธีตามแบบฉบับในวัง ฮื้อออออ
สงสารนู๋เถอะค๊า ฮ่องเต้ขา ช่วยนอนหน่อยนะคะ สายเสยจะหลุดหมดแล้วววว ต้องแทงเส้นกันใหม่
ตลอดเวลานั้นคนไข้แกบ่นแต่ว่า อยากเจอลูก โทรหาหน่อย อยากเจอ รีบให้ลุกมาเร็วๆ
ตอนนั้นเป็นเวลาตี3ละ โทรไปตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่อง และที่สำคัญลุงแกไม่ได้มีอาการเปลี่ยนแปลง//สัญญานชีพเปลี่ยนเลย  สู้กันจนกระทั่งเช้า
เวลาประมาณตี5
ลุงเริ่มมีสัญญาณชีพเปลี่ยนแปลง หัวใจเต้นผิดปกติ เราต้องทำการปั๊มหัวใจคนไข้ ใส่ท่อช่วยหายใจ
ก่อนที่จะเป็นมากนั้น ลุงแกบ่นแต่ว่า ลูกอยู่ไหน รีบมา!!
ทางเราก็รีบโทรแจ้งญาติทันที และให้การช่วยเหลือกับคนไข้
จนใส่ท่อช่วยหายใจเรียบร้อย ปั๊มหัวใจให้ลุงเรียบร้อย สัญญาณชีพลุงเริ่มกลับมาปกติ
ระหว่างนั้นเราก็เคลียร์สิ่งต่างทั้งเอกสาร สิ่งแวดล้อมรอบตัวคนไข้ เพื่อจะส่งเวร
ช่วงที่กำลังจะส่งเวรนั้น ลูกสาวคนไข้ได้เดินทางมาถึงพอดี รีบเข้าไปดูอาการคนไข้ กุมมือกันและกัน
ขณะที่กุมมือกันนั้น เป็นเวลาเดียวกันที่เราส่งเวรให้รุ่นพี่พยาบาลที่มาต่อเวร
เพียงแค่กำลังจะเอ่ยปากอ่านชื่อคนไข้เท่านั้นเอง
Asytole
เง้ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ!!
คนไข้นุ๋ไปแล้ว เพียงแค่ลุกสาวแกมาเท่านั้นเองงงงงงงง
เราวิ่งไปช่วยทุกอย่าง ทำเท่าไหร่แกก็ไม่กลับมา เสียใจ///เศร้า///
**ในสิ่งที่เล่ามาไม่ได้ต้องการจะสื่ออะไรนอกจากคำว่า 

สิ่งสุดท้ายที่คนเราต้องการนั้น...ก็เพียงแค่ความรักจากคนในครอบครัวเท่านั้นเอง



Monday 11 June 2012

ICU...ครั้งหนึ่งในชีวิต2(ภาคต่อ)

หลังจากในภาค1ได้เกริ่นถึงหอผู้ป่วยICUไปแบบเนิ่นๆบ้างแล้ว
วันนี้เจ้าของblogจะดำเนินเล่าต่อว่า เหตุการณ์ที่ประสบพบเจอเป็นอย่างไรบ้าง
ก่อนอื่นต้องขอแจงรายละอียดเรื่องการเรียกชื่อ // การเข้าเวร ว่าเป็นอย่างไร

แผนก หรือที่เรียกกันตามประสาคนในโรงบาลก็คือ วอร์ด นั่นเอง
เวรเช้า  ( ตัวย่อ ช )      คือ  การเข้าทำงานตั้งแต่ 8-16น.
เวรบ่าย (ตัวย่อคือ บ)   คือ  การเข้าทำงานตั้งแต่ 16-24น.
เวรดึก   (ตัวย่อคือ ด)   คือ  การเข้าทำงานตั้งแต่ 24-8น.

การเข้าเวรนั้นใช่ว่าเข้าเวรกันแบบ จ-ศ เเล้วเวร แบบช-ช-บ-บ-ด ซะที่ไหนกันคะ
เวรส่วนใหญ่ก็น่านเลยคะ ชบต่อช คือทำงานกันตั้งแต่8-24น.แล้วตื่นมาทำงานต่อ8-16. เป็นต้น
แต่การทำงานแบบนี้ใช่ว่าแต่พยาบาลในICUที่ไหน ไม่ใช่คะ เป็นกันทุกๆวอร์ดเลย
ดูแลคนอื่นจนตัวเองป่วย T^T
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจคะ ถ้าจะเห็นว่าพยาบาลที่ใกล้ตัวพวกคุณนั้นล้วนหวงงงงการนอนมากกว่า
สิ่งใดทั้งสิ้่น

เอาเป็นว่ามาเริ่มต้นเล่าเรื่องในICUต่อดีกว่าคะ
การทำงานในICU ในวอร์ดที่เจ้าของBlogอยู่นั้น
เป็นการดูแลคนไข้แบบ 1:1 คือ พยาบาล 1คน : คนไข้ 1คน
ต้องดูแลทุกอย่างตั้งหัวจดเท้าคะ เช็ดตัว อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนชุดขับถ่าย 
จดบันทึกสัญญาณชีพ ดูแลดูดเสมหะตามท่อช่วยหายใจ ประเมินภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ทำแผล ทำหัตถการต่างๆที่เกี่ยวกับคนไข้ และอีก บลา บลา บลา

มีครั้งหนึ่งเจ้าของblog ได้ดูแลคนไข้คนหนึ่ง ก็รับเคส รับเวรมาแบบปกติ คนไข้รายนี้อาการโดยทั่วไปดีมากคะ ถือว่าStableที่สุดในวอร์ดแล้ว(แอบมีช่วงดวงคุณนายกะเค้าด้วย เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ^0^)
ก็ดูแลเช็ดตัว ทำนู้นนี่ ทำหัตถการต่างๆ มีให้เลือด เจาะเลือดตามorderหมอ มีช่วงนึงคนไข้อยากถ่าย แกก็กดออดเรียก ไอ่เราก็เปลี่ยนให้เรียบร้อย ดูแลRecordตามปกติ เข้าๆออกๆ อยู่ห้องนั้น จนจะครบเวรละ
จู่ๆ คนไข้แกก็กดออดมาเรียกเราเข้าไป
เราก็เข้าไปถามว่า ต้องการให้ข่วยอะไรคะ มีอะไรรึเปล่า
ปรากฏว่าคนไข้แกให้ลุกชายแก เอาเงินยื่นให้เรา เจ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!! >,<
ให้ค่าอะไร ?? ก็งง ถามป้าแกไปว่า ให้ทำไมคะ??
ป้าบอกว่าให้ค่าที่หนูดูแลป้าอย่างดี ป้ารู้สึกเป็นบุญคุณมากรับไว้เถอะนะคะ
บ้าละ!!ใครจะกล้ารับ แล้วที่สำคัญไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรับ
ก็เลยบอกไปว่า ป้าเก็บไว้เถอะคะ ไม่ต้องให้หนูหรอก
ป้าแกก็ขยั้นขะยอลูกชายแกมากกก ให้ยัดใส่กระเป๋าเสื้อให้ ไอ่เราก็ควักคืน
หื้มมมม!! แบงค์พัน2ใบ ให้ค่าเก็บอี๊ อ่านะ คนรวยหนอคนรวย ใช้กะตังมะเหงคุณค่าเลยยยย
เราเลยบอกไปว่า ไม่ต้องให้หรอกคะ คุณป้าให้ลูกชายเอาเงินไปบริจาคที่มูลนิธิของรพ.ก็ได้นะคะ
ได้บุญช่วยเหลือคนยากไร้ด้วยคะ แค่นี้ก็เหมือนว่าเราทำบุญร่วมกัน เเละไม่มีใครเป็นบุญคุณต่อใครแล้วนะคะ

*****หลังจากนั้น ลูกชายกก็เก็บเงินคืนไป
*****แล้วก็กลับมาใหม่พร้อมของกินเต็มมือเลยยยย เอามาให้พยาบาล อิ่มท้องกันถ้วนหน้าเลยยยค๊า

*รู้สึกอิ่มท้องและอิ่มใจควบคู่กันไปด้วยนะคะ ห้าๆๆๆ ^0^

------------------------------------------------------------------------------------------------------------


Blogหน้าจะมาเล่าความระทึกกกกกกกกกกกกกก // ตื่นเต้นๆๆ กันค๊าา ^^


Sunday 10 June 2012

ICU...ครั้งหนึ่งในชีวิต ภาค1 ^0^

วันนี้ไม่ได้มาลงความรู้ทางการแพทย์อะไร
แต่...วันนี้จะมาเล่าถึงความรู้สึกในการเป็นพยาบาลว่ามันเป็นอย่างไร
เจ้าของblogเอง เป็นพยาบาลอยู่ในแผนกICU หรือหอผู้ป่วยวิกฤตินั่นเอง
ระหว่างที่ทำงานในICUนั้น มีความสุขมาก
ไม่รุ้จะอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้อย่างไร
การได้ช่วยชีวิตคนๆนึง ให้รอดพ้นจากความตาย นั้น มันมีความสุขมหาศาลแม้จะเหนื่อยอย่างมหาศาลเช่นกัน
ท้าทายนะคะ!! ที่ชีวิตคนคนนึงอยู่กับเรา
ยาสารพัดที่แขวน...สายน้ำเกลือต่างๆนานาที่ห้อยระโยงระยาง
อื้มมมม//ดูขลังดีแหะ...

คนไข้ที่มานอนส่วนใหญ่เเล้วล้วนแต่หนักหนาเอาการ
*เอาท่อช่วยหายใจออกไม่ได้บ้าง
*เสียเลือดเป็นจำนวนมากบ้าง
*ผ่าตัดเปลี่ยนตับ-ไตบ้าง
*อุบัติเหตุร้ายแรง
*ภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน
และอีก บลา บลา บลา

ขอบอกตามตรงว่า พยาบาลICUทำงานอยู่กับดวงใครดวงมันคะ
ใครดวงคุณนาย ก็คุณนายมากคะ คนไข้ิอาการstable สบาย record//ประเมิน อย่างปกติ
ส่วนใครดวงวุ่นละก็ไม่ต้องพูดถึงคะ
อย่าคิดที่จะได้นั่ง//กินข้าว//เขียนเอกสารทางการแพทย์ อย่าหวังคะ
วิ่งอย่างเดียว ทำนู้นทำนี่ภายใน8ชั่วโมงให้เรียบร้อย >>เวลาน้อยไปคะ ฮืออออ T0T
ใช่ว่าจะมัวแต่วุ่นกับคนไข้อย่างเดียวนะคะ
ไหนจะตามorderจากแพทย์ ตามเลือดจากห้องเลือด ตามผลlabจากห้องlabอีก อู้ยยยยยสารพัดจะตาม
เหนื่อยคะ...แต่สนุก

การทำงานในวงการพยาบาลสุดยอดคะ ถูกสอนมาให้ทำทุกอย่างห้ามผิดพลาด ต้องระเบียบ ต้องละเอียด ต้องจุกจิก กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ไม่ใช่นิสัยอย่างเจ้าของblogเลย แต่เวลางานเเล้วต้องทำคะ ต้องรับผิดชอบงานให้ดีที่สุด
ใช่เพียงแต่ว่าดูแลคนไข้เสร็จภายใน8ชม.แล้วจบ ไม่ใช่นะคะ
ต้องมีการมานั่งส่งเวรกันอีกคะ เหมือนเล่าเรื่อง เล่าอาการของคนไข้อีกต่อหนึ่ง
ซึ่งต้องส่งให้ครบทุกอย่างและถี่ถ้วนด้วยคะ หากส่งไม่ครบจะเป็นอะไรที่ผิดอย่างมหันต์นะคะ
เพราะข้อมูลทุกอันล้วนสำคัญสำหรับคนไข้หมดเลยคะ...
แต่ส่วนใหญ่เเล้ว มักจะได้ตามประสบการณ์ละคะ ต้องเรียนรุ้ทุกวัน เก็บวันละนิดวันละหน่อย
ต้องดู ต้องสังเกตุให้เป็น ///

**วันนี้ขอเกริ่นนำแค่นี้ก่อนละกันนะคะ วันต่อไปจะลงถึงเหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอ ว่ามันสนุกมากแค่ไหน อิอิ


Friday 8 June 2012

diarrhea..."ท้องเสีย" ไม่มีใครไม่เคยเป็น



อย่างไรจึงเรีบกว่า เราท้องเสีย ??

บางคนวิ่งเข้าห้องน้ำถ่ายเหลวและเป็นมูกเพียงครั้งสองครั้ง นั่นเรียกว่าท้องเสียได้หรือไม่??

คำนิยามของคำว่าท้องเสียคือ ภาวะที่เราถ่ายเหลวเป็นน้ำ เป็นมูก ตั้งแต่ 3 ครั้ง ขึ้นไป 

มีปวดมวนท้อง ปวดบิด อ่อนเพลีย(จากการเสียน้ำร่วมด้วย)
                            เราสามารถจำแนก แยกประเภทของอาการท้องเสียได้ตามความนานที่เป็นดังนี้นะค๊า
1                           .     ท้องเสียแบบเฉียบพลัน คือ อาการท้องเสียนั้นหากเราเป็นแล้วหายภายใน2อาทิตย์นั่นเอง
2                           .     ท้องเสียแบบต่อเนื่อง คือ อาการท้องเสียที่เราเป็นภายใน2-4อาทิตย์แล้วหาย
3                           .     ท้องเสียเรื้อรัง คือ อาการท้องเสียที่เราเป็นมากกว่า 4 สัปดาห์
สาเหตุของอาการท้องเสียคือ
             -การรับประทานอาหาร//น้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค จากการสัมผัสเชื้อโรคโดยตรงหรือทางอ้อม การเข้าห้องน้ำแล้วไม่ล้างมือ แล้วก็มาจับอาหารเข้าปาก เชื้อโรคก็เข้าสู่ปากโดยตรง ลงลำไส้ อั๊ยย๊า!!ไม่อยากจะคิด เหอะๆ >,<  หรือว่าอาจจะท้องเสียจากผลข้างเคียงของยาที่เรารับประทานเข้าไป  รวมทั้งท้องเสียจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็ง ด้วยนะคะ
เชื่อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียนั้นได้แก่ เชื้อ แบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อบิดจากพยาธิ นั่นเอง
เชื้อดาวเด่น ซุปตาร์ของเราคือ E.Coli เป็นเชื้อแบคทีเรีย รองลงมาก็เชื้อ ไทฟอยด์ (Salmonella) เชื้อบิดชนิด ชิเกลลา (Shigella) และเชื้ออหิวา (Cholera จากเชื้อ Vibrio cholerae)
เชื้อบิด (บิดมีตัว) จากติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว (โปรตัว ซัว/Protozoa) ที่มีชื่อว่า อะมีบา (Amoeba) หรือ ติดเชื้อพยาธิเข็มหมุด (Pinworm) ซึ่งบางคนเรียกว่า พยาธิเส้นด้าย (Threadworm) เป็นต้น
การรักษา
โดยทั่วไปแล้ว จะให้รับประทานน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำที่เราเสียไปนั่นเอง เรียกว่า ยาโออาร์เอส (ORS, Oral Rehydration Salts) นอกจาก นั้น คือ การรักษาตามสาเหตุ เช่น อาจให้ยาปฏิชีวนะเมื่อเกิดจากการติดเชื้อแบค ทีเรีย และการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ยาบรรเทาปวดท้อง หรือ ยาลดไข้
โดยทั่วไป แพทย์มักไม่แนะนำการกินยาหยุดท้องเสีย เพราะ การถ่ายอุจจาระ เป็นวิธีหนึ่งที่ร่างกายใช้กำจัดเชื้อโรค และ/หรือ สารพิษจากเชื้อโรคออกจากร่างกาย ////
**จำไว้ว่าอย่าซื้อยาหยุดถ่ายมาทานเองนะคะ