Monday 30 July 2012

อะมีบา...มันมาอีกแล้ว!!

ยังไม่ทันหายกังวลเกี่ยวกับเชื้อเอนเทอโรไวรัส71เลย ใช่มั้ยคะ
ยังต้องมาวาดระแวงกับเชื้อเก่าที่กลับมาใหม่อีกแล้ว เชื้อนั้นคือ เชื้ออะมีบา นั่นเองคะ
และในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับเชื้อนี้กันนะคะว่ามันคือเชื้ออะไร? ส่งผลต่อเราอย่างไร?และเราจะป้องกันเชื้อนี้อย่างไร?


เชื้ออะมีบาคืออะไร?
เชื้ออะมีบาเป็นกลุ่มโปรโตซัวร์ สัตว์เซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ 
มักจะอยู่ตามแหล่งน้ำจืดที่มีลักษณะน้ำขัง นิ่งขุ่น และในดิน 


สำหรับเชื้ออะมีบานี้มี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ


กลุ่มที่ 1 Naegleria fowleri //เนคเกอเรีย ฟาวเลอรี่ 
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอันตรายมากที่สุด เข้าสู่ร่างกายทางจมูก
เชื้อจะขึ้นสมองโดยผ่านทางเส้นประสาทรับกลิ่น ทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เรียกว่า Primary amoebic meningo - encephalitis (PAM) ซึ่งมีอาการรุนแรง เชื้อนี้มักรักษายาก การใช้ยากลุ่มปฏิชีวนะมักได้ผลน้อย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเสียชีวิตภายใน 10 วัน


กลุ่มที่ 2  Acanthamoeba// อะคันทามีบา
 มี 4 สายพันธุ์ด้วยกันคือ
Acanthamoeba cibertsoni ทำให้เกิดโรคที่สมอง 
- Acanthamoeba  cactellanii ทำให้เกิดโรคในสมอง ตา กระดูก 
Acanthamoeba polyphageทำให้เกิดโรคที่ตาหรือคอนแทกต์เลนส์ 
Acanthamoeba astronyxis ทำให้เกิดโรคที่สมองและผิวหนัง


กลุ่มที่ 3 ได้แก่  Balamuthia mandaris//บาลามูเทีย แมนดาริส 
เข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทางคือ 
1.ทางผิวหนัง 
ทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นหนอง และลุกลามผ่านกระแสเลือดขึ้นสู่สมองและทำให้สมองอักเสบ (Granulomatous amoebicencephalitis; GAE) 
2.ทางเยื่อบุตา ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ (Kerato - Conjunctivitis) อาจทำให้ตาบอดได้ เชื้อดังกล่าวเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัว 3 - 7 วัน


การติดต่อ//การรับเชื้ออะมีบา รับได้อย่างไร?


เชื้ออะมีบาไม่ติดต่อจากคนไปสู่คน  ไม่มีพาหะในการนำโรค
แต่เป็นโรคติดต่อจากแหล่งน้ำโดยตรง เชื้อเนคเกอเรียจะติดต่อได้ก็ต่อเมื่อสำลักน้ำเข้าทางจมูกเท่านั้นเพราะที่โพรงจมูกจะมีประสาทเส้นหนึ่งซึ่งเป็นประสาทรับรู้กลิ่นเชื่อมต่อกับสมองโดยตรง อะมีบาจะใช้เส้นทางนี้เข้าสู่สมอง จากนั้นอะมีบาจะแตกตัวกัดกินสมองจนผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
          สำหรับการดื่มหรือกินเชื้อนี้เข้าไปจะไม่เป็นอะไรเพราะในระบบทางเดินอาหารจะมีกรดและน้ำย่อยที่ทำลายอะมีบาให้ตายได้ ส่วนเชื้ออะคันธามีบา สามารถติดต่อผ่านผิวหนังที่เป็นแผล เข้าสู่ปอด หรือติดต่อผ่านแผลกระจกตา จากนั้นเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าสู่สมองเช่นเดียวกันแต่ต้องได้รับในปริมาณพอสมควรเชื้อจึงจะก่อโรคได้ เพราะฉะนั้นในสระว่ายน้ำ น้ำประปา ที่มีคลอรีนมาตรฐานอยู่ในระบบกรองน้ำหรือคูคลองที่น้ำไหลเวียน จะไม่มีเชื้อนี้อาศัยอยู่ น้ำประปา น้ำต้ม น้ำกรองจึงสามารถดื่มได้เพราะจะไม่มีเชื้อนี้คะ






อาการเริ่มต้นของผู้ป่วย 
จะเริ่มมีอาการไข้หวัด ปวดศรีษะ ซึม และเมื่ออาการรุนแรงขึ้นถึงจะแสดงอาการทางสมอง โดยจะคลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง ไขสันหลังอักเสบ ต้องได้รับการตรวจชิ้นเนื้อสมองหรือเจาะน้ำไขสันหลังดู เพื่อวินิจฉัยว่าผู้ป่วยได้รับการติดเชื้อจากอะมีบา นั่นเอง


เชื้ออะมีบาจะแบ่งตัวได้ดีในสมองคน เพราะในสมองคนมีอุณหภูมิพอเหมาะ มีอาหารสมบูรณ์ อะมีบาจึงเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในฤดูร้อน เชื้ออะมีบาจะเจริญเติบโต แบ่งตัวได้มากกว่าและเร็วกว่าปกติอีกด้วยนะคะ ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันคือ ไม่ให้สำลักน้ำตามแหล่งน้ำต่างๆเข้าสู่โพรงจมูก และ ไม่เดินลุยน้ำที่ขังและไม่สะอาด พึงสังเกตอาการผิดปกติต่างๆของตนเองตลอดเวลาอีกด้วยคะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเเละคนที่เรารักนะคะ 




ติดเชื้ออะมีบา,อะมีบา,Amoeba

ที่มาของรูปภาพ : Google.com











Wednesday 25 July 2012

ทำอย่างไรจะปลอดภัย...เมื่อใช้"ยาปฏิชีวนะ"

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ//การแพทย์ ทุกวันนี้มันเยอะยิ่งนักนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคที่มันพัฒนาตัวมันเองแข่งกับยาต้านที่มนุษย์เราผลิตมาเพื่อสู้กับมัน
ต่างคนต่างดิ้นรน น่าเหนื่อยจังเลย...

เมื่อร่างกายของเราก็เหมือนกับเครื่องจักร ทำทุกวันหนักๆไม่พัก สักวันมันก็ต้องมีวันเสื่อมวันพังเป็นเรื่องสัจธรรมของชีวิต แต่เราจะทำอย่าางไร ป้องกันหรือส่งเสริมอย่างไรให้ร่างกายหรือเครื่องจักรของเราไม่เสื่อมสภาพ//หรือว่าง่ายๆเสื่อมสภาพแบบน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อโลกเปลี่ยนไปวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลง ก็มีการพัฒนาทั้งยารักษาโรค การรักษา การผ่าตัด ให้ทันสมัยเพื่อรับมือกับการยื้อชีวิตให้กลับมาเป็นปกติที่สุด

1ในการรักษาโรคทั่วไปคือ ยา
และยานี่เองคือสารเคมีที่จะเข้าร่างกายไปช่วยให้ร่างกายของเราดีขึ้น แต่..เราสามารถซื้อยามารับประทานเองได้หรือไม่?? และจะต้องปรึกษาใคร??
ยาชนิดหนึ่งที่ทุกคนคงเคยได้รับยาชนิดนี้กันมาเเล้วอย่างแน่นอนคือ ยาแก้อักเสบ หรือ ยาปฏิชีวนะ นั่นเองคะ

      ยาปฏิชีวนะคือยาอะไร?

ในวงการแพทย์มักเรียกยาปฏิชีวนะว่า แอนติไบโอติก (Antibiotics) หมายถึง ยาต้านสิ่งมีชีวิต ซึ่งสิ่งมีชีวิตในที่นี้ คือ เชื้อโรคนั่นเอง โดยทั่วไปมักเป็นเชื้อแบคทีเรีย บางคนจึงเรียกว่า ยาต้านแบคทีเรีย (แอนติแบคทีเรียล/Antibacterial) แต่ยังอาจครอบคลุมถึงเชื้อไวรัสบางชนิด และเชื้อราบางชนิดอีกด้วยคะ

ยาปฏิชีวนะรักษาโรคได้อย่างไร?

กลไกการออกฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะ มีกระบวนการทำลายและยับยั้งการเจริญ เติบโตของเชื้อแบคทีเรียโดย 
-ทำลายเยื้อหุ้มเซลล์ซึ่งส่งผลทำให้สมดุลในการดำรงชีวิตของเชื้อโรคเสียไปและตายในที่สุด         
-ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ (Cell Wall) ซึ่งเป็นผนังภายนอกสุดของเซลล์ ที่ห่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ด้วยกลไกนี้จะทำให้เชื้อแบคทีเรียต่างๆไม่สามารถแพร่พันธุ์ จึงหยุดการเจริญเติบโต
-ก่อกวนการสังเคราะห์สารพันธุกรรม(ดีเอนเอ และ อาร์เอนเอ)
ในตัวของเชื้อแบคทีเรีย  กลไกดังกล่าวจะทำให้เชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถผลิตลูกหลานออกมาได้อีกต่อไป
-กระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรีย ปลดปล่อยน้ำย่อยออกมาย่อยตัวเองและตายลงในที่สุด
อนึ่ง ความสามารถในการทำลายเชื้อแบคทีเรียของยาปฏิชีวนะ ไม่ได้ขึ้นกับวิธีการ หรือกลไกทำลายเชื้อโรคเท่านั้น แต่ยังขึ้นกับความสามารถในการนำ หรือพายาปฏิชีวนะไปยังอวัยวะที่มีการติดเชื้อ หากร่างกายไม่สามารถนำยาไปยังอวัยวะที่มีการติดเชื้อได้ ก็ไม่สามารถทำลายเชื้อโรคได้ ซึ่งการนำยาไปยังอวัยวะเป้าหมาย มีหลายช่องทาง
 เช่น การกิน การฉีดใต้ผิวหนัง การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และ การทาที่ผิวหนัง

ใช้ยาปฏิชีวนะนานๆ หรือ พร่ำเพรื่อ ส่งผลเสียอะไรบ้าง?

การใช้ยาปฏิชีวนะ ต้องใช้ให้เหมาะสม และตรงกับชนิดของโรคที่จะรักษา การได้รับยาไม่ครบตามปริมาณ และในขนาดที่เหมาะสม ส่งผลเสียโดยตรง คือ อาการของโรคไม่ดีขึ้น 
แต่การใช้ยาปฏิชีวนะนานเกินไป หรือใช้มากเกินไปก็มีผลเสีย ดังนั้นการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะควรต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ หรือขอคำ แนะนำจากเภสัชกรก่อนใช้เสมอ
ผลเสียจากใช้ยาปฏิชีวนะนานๆ หรือ พร่ำเพรื่อ ที่พบบ่อย คือ
-เชื้อโรคมีพัฒนาการต่อต้านยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้เกิดภาวะดื้อยา (เชื้อดื้อยา)
-เกิดการกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายที่มีตามธรรมชาติ ทำให้ร่าง กายอ่อนแอลง ไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้ด้วยภูมิคุ้มกันของตัวเอง ซึ่งมักพบภาวะกดภูมิคุ้มกันกับการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปในเด็ก
-เกิดการทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งอาศัยอยู่ในทางเดินอาหาร ส่งผลให้การสร้าง และ/หรือ การดูดซึม วิตามินบางกลุ่มสูญเสียไป เช่น วิตามิน เค เป็นต้น
-ได้รับผลอันไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ของการใช้ยา เช่น ท้องเสีย ผื่นคัน ลมพิษ และ หอบหืด
-รบกวนการทำงานของยากลุ่มอื่น (ปฏิกิริยาระหว่างยา) เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะบางกลุ่มพร้อมกับยาคุมกำเนิด จะทำให้ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดลดลง จนอาจเกิดการตั้งครรภ์ตามมาได้
ด้วยการซื้อยาปฏิชีวนะใช้เอง หรือใช้ตามคำบอกเล่า มักส่งผลเสียมากกว่าประโยชน์ที่ควรได้รับ เช่น
  • สูญเสียความสามารถในการรักษาโรค ด้วยเลือกใช้ยาปฏิชีวนะไม่ตรงกับโรค
  • ก่อให้เกิดพิษหรือการแพ้ยา ปฏิชีวนะ บางรายอาจถึงขั้นรุนแรงและเสียชีวิตในที่สุด
  • สูญเสียทางเศรษฐกิจ ด้วยค่าใช้จ่ายในการซื้อยาและไม่ได้รับประสิทธิผลของยาที่ใช้ในการรักษา
  • เป็นสาเหตุสำคัญของเชื้อดื้อยา ซึ่งต่อไปเมื่อเกิดติดเชื้อ มักจะรุนแรง รักษาได้ยาก มีโอกาสเสียชีวิตได้สูงขึ้น

ดังนั้น คำแนะนำสำคัญในการใช้ยาปฏิชีวนะ 
คือ ควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เสมอ หรือ อย่างน้อยควรต้องปรึกษาเภสัชกร หรือ พยาบาล ก่อนซื้อยากินเองเสมอ เพราะนอกจากอันตรายดังกล่าวแล้ว ยังมีปัจจัยที่ต้องใช้ประกอบในการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะอีกมากมาย เช่น ภาวะหอบหืด ภาวะตับ และ/หรือไตทำงานผิดปกติหรือไม่ วัยของผู้ป่วย ซึ่งต้องคำนวณการใช้ยาที่แตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้ การแจ้ง แพทย์ พยาบาล และ เภสัชกร ให้ทราบว่าตนเองแพ้ยา (การแพ้ยา)ปฏิชีวนะกลุ่มใด หรือ ตัวใด   เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ยาให้ยิ่งสูงขึ้นอีกด้วยนะคะ
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล : Haamor.com//antibiotic



ยาปฏิชีวนะ,ยาฆ่าเชื้อ,antibiotic

ที่มาของรูปภาพ : Google.com






Tuesday 24 July 2012

แค่น้ำเต้าหู้...ก็สวยได้

วันนี้ไม่ได้มาอัพความรู้เรืิ่องโรคให้ได้อ่านกันนะคะ แต่วันนี้ขอมาเล่าถึงคุณงามความดีของสารอาหารชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สาวๆอย่างเรา ยังคงความสาวและสวย ผิวพรรณดีอยู่ได้ไปอีกนาน
ของสิ่งที่จะกล่าวถึงนี้ ราคาไม่แพง หามารับประทานง่ายมากๆคือ "น้ำเต้าหู้" นั่นเองคะ

น้ำเต้าหู้ ทำมาจากอะไร


วัตถุดิบในการผลิตน้ำเต้าหู้นี้หาง่ายมากๆคะ น้ำเต้าหู้ทำมาจากถั่วเหลือง ซึ่งวิธีในการทำก็ง่ายแสนง่าย

มีวิธีทำดีังต่อไปนี้คะ
-นำถั่วเหลือง ไปแช่น้ำไว้สัก1-2ชั่วโมง เพื่อให้เมล้ดถั่วเหลืองมันเปื่อย//นิ่มลง
-นำถั่วเหลืองที่แช่น้ำนั้นไปปั่นในเครื่องปั่นใส่น้ำเข้าไปด้วยนะคะ//หรือเครื่องสกัดน้ำเต้าหู้โดยเฉพาะก็ได้คะ(สะดวกดีด้วย)
-นำน้ำที่ปั่นจากเมล้ดถั่วเหลืองมากรองโดยผ้าขาวบาง
-เมื่อได้น้ำสกัดจากถั่วเหลืองแล้วก็นำไปต้มให้เดือด
-ปรุงรสด้วยการเติมน้ำตาล ใส่เครื่องเคียงลงไปด้วยเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น ลุกเดือย ถั่วแดง วุ้น สาคู เม็ดแมงลัก หรืออย่างอื่นที่เราชื่นชอบก็ได้คะ

แล้วในน้ำเต้าหู้มีสารอะไร? ทำไมสาวๆอย่างเราถึงต้องกินนะ??

ถั่วเหลืองเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมไปถึงสารอาหารที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ ,บีรวม ,บี1,บี 2 ,บี 6 ,บี 12 ,ไนอาซิน ,เลซิทิน ซึ่งตัวหลังสุดช่วยในการบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ นอกจากนี้สารอาหารที่อยู่ในนมถั่วเหลืองยังช่วยลดไขมันและคอเลสเทอรอล ป้องการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ และริดสีดวงด้วยนะคะ

น้ำเต้าหู้กับสุขภาพ
    นมถั่วเหลืองให้พลังงานได้มากพอ ๆ กับนมวัว แม้ปริมาณโปรตีน วิตามินและเกลือแร่อื่น ๆ อาจได้ไม่เท่ากับนมวัว แต่ข้อดีที่สำคัญคือ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
 เพราะ ไขมันในนมถั่วเหลือง เป็นไขมันไม่อิ่มตัวมีมากถึง 63% 
                                           ไขมันอิ่มตัว 15 %
                                           ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเดี่ยวอีก 24 %
                                           และยังมี linoleic acid กรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย 

นอกเหนือจากคุณค่าในแง่ของพลังงานแล้ว ในนมถั่วเหลืองยังมีสารอาหารอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินอี ที่มีในปริมาณที่สูง วิตามินอี มีส่วนสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลเนื้อเยื่อร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง และยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย ...เพราะฉะนั้น ถ้าใครทานนมถั่วเหลืองมาก ๆ ก็มีสิทธิแก่ช้า แถมยังได้ผิวพรรณที่สดใสอยู่กับเราไปนาน ๆ ด้วย

น้ำเต้าหู้ดีกับสุขภาพโดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทอง หากมีการรับประทานน้ำเต้าหู้อยู่เสมอจะช่วยลดอาการต่าง ๆ ของหญิงวัยหมดประจำเดือนไม่ว่าจะเป็นร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง ไขมันสูง อารมณ์ไม่ปกติ ในน้ำเต้าหู้จะมีสารเคมีสำคัญตัวหนึ่ง คือ ไอโซฟลาโวน ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ประโยชน์ของสารตัวนี้สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม ส่วนคุณผู้หญิงที่ไม่อยู่ในช่วงวัยทองก็ได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน เพราะจะช่วยปรับฮอร์โมนของผู้หญิงให้สมดุลได้เช่นเดียวกับยาคุมกำเนิดอีกด้วยคะ



นมถั่วเหลือง,เต้าหู้



ที่มาของรูปภาพ: Google.com

**เมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้เเล้ว อย่าลืมดื่มน้ำเต้าหู้เป็นปประจำ เพื่อความสวยและสุขภาพที่ดีของเรานะคะ ^^

Monday 23 July 2012

ปวดหลังจากการทำงาน...โรคฮิตของวัยทำงาน


โรคปวดหลังจากการทำงาน          
   
   คือภาวะที่เกิดการตึงตัว เกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณเอว หรือ หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวเคลื่อนแล้วส่งผลทำให้เกิดการเจ็บปวดนั่นเองคะ

สาเหตุของโรคปวดหลังจากการทำงาน
-      การนั่งผิดท่าเช่น การนั่งหลังโก่ง นั่งบิด
-       นั่งขับรถหลังโก่ง
-       การยืนที่ผิดท่า
-      การยกของผิดท่า
-       ร่างกายไม่แข็งแรง
-       ทำงานมากไป

      ซึ่้งปัจจัยหลักๆและที่สำคัญคือ น้ำหนักของวัตถุที่จะยก เพราะหากเรายกสิ่งของที่น้ำหนักมากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้อย่างแน่นอนคะ


การป้องกัน


*   เลือกบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน
*  ทำงานด้วยท่าทางที่ถูกต้อง
*  น้ำหนักของสิ่งของที่ยกไม่เกินพิกัด//ความสามารถในการยก
*  มี การใช้เครื่องทุ่นแรงช่วยในการยกเคลื่อนย้ายสิ่งของทุกครั้ง



ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคปวดหลัง

- หลีกเลี่ยงจากการงอเอว ให้งอข้อสะโพกและเข่าร่วมด้วย
- หลีกเลี่ยงจากการยกของหนักโดยเฉพาะที่อยู่เกินเอว
- หันหน้าเข้าสิ่งของทุกครั้งที่จะยกของ
- ถือของหนักชิดตัว
- ไม่ยกหรือผลักของที่หนักเกินตัว
- หลีกเลี่ยงการยกของที่มีน้ำหนักไม่เท่ากัน
- หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
- เปลี่ยนท่าบ่อยๆ
- การถูพื้น ดูดฝุ่น การขุดดิน ควรจะถือเครื่่องมือไว้ใกล้ตัว ไม่ก้าวยาวๆหรือเอื้อมมือหยิบของ
- ให้นั่งสวมถุงเท้า รองเท้า ไม่ยืนเท้าข้างเดียวสวมรองเท้าหรือถุงเท้า
- หลีกเลี่ยงการแอ่นหลังหรืองอหลัง
- นั่งหลังตรงและมีพนักพิงที่หลัง  หาหมอนหรือผ้ารองบริเวณเอว ให้ยืนยืดเส้นทุก 20-30 นาที
- การยืน..อย่ายืนหลังค่อม  ให้ยืนยืดไหล่อย่าห่อไหล่เพราะจะเมื่อยคอ  อย่าใส่รองเท้าที่ส้นสูงมาก
- การยก ย้ายสิ่งของให้เลือกวิธีอื่นเช่น การผลักหรือดัน  ,  เวลาจะยกให้เดินเข้าใกล้สิ่งที่จะยก
  ย่อเข่าลงแล้วจับแล้วยืนขึ้น,ไม่ก้มหลังยกขอ

ปวดหลังคืออะไร,ปวดหลังจากการทำงาน

ที่มาของรูปภาพ : Google.com


Monday 16 July 2012

เอนเทอโรไวรัส...คืออะไร

ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่า ไม่เคยได้ยินชื่อ >>เชื้อเอนเทอโรไวรัส
สงสัยกันหรือไม่คะ ว่าเชื้อนี้คืออะไร มีผลต่ออะไร ทำให้เกิดอะไร?


เชื้อเอนเทอโรไวรัสคืออะไร?
เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ส่งผล//ก่อให้เกิดโรคต่างๆในเด็กคะ ที่มีทั้งหมด 68 Serotype 
แต่ที่โด่งดัง ณ เวลานี้ คือ เชื้อไวรัสเอนเทอโร71 นั่นเอง เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค มือ เท้า ปาก (Hand Foot Mouse) ที่กำลังระบาดที่ประเทศกัมพูชา แล้วอพยพข้ามมาฝั่งบ้านเราในทุกวันนี้น่ะคะ


การติดต่อของเชื้อไวรัสชนิดนี้
ติดต่อในรุปของการที่เรารับประทานอาหารหรือมีเชื้อไวรัสนี้ปนเปื้อนเข้าไปในร่างกาย
หรือเกิดการแพร่กระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยุ่แล้ว เช่นน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ละอองจากการไอจาม น้ำเหลืองจากแผลพุพอง  หรืออุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อ ซึ่งเชื้อไวรัสนี้มีระยะฟักตัวที่3-7วันคะ


เมื่อตืดเชื้อไวรัสเอนเทอโร71แล้ว เสียชีวิตทันทีเลยหรือไม่?
คำตอบ ส่วนใหญ่ผู้ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส71นั้น ยังไม่มีข้อมูลใดๆที่บอกว่า มีการเสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้โดยตรงคะ ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อไวรัสมากกว่าคะ เช่น มีการติดเชื้อที่ปอด ที่เยื่อหุ้มสมอง ที่ไขสันหลังเป็นต้นคะ


การป้องกัน
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนใดๆ ที่จะป้องกันเชื้อไวรัสนี้ได้ แต่เราสามารถทำได้โดย
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ป่วยมีเชื้อไวรัสชนิดนี้
-หมั่นล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หรือเผยแพร่ไปให้ผู้อื่น
-แยกเด็กที่ป่วยด้วยเชื้อไวรัสนี้ มิให้สัมผัสกับเด็กคนอื่นเพื่อป้องกันการเผยแพร่เชื้อนั่นเอง





ที่มาของรูปภาพ : Google.com





Sunday 8 July 2012

ยาคุมฉุกเฉิน...ใช้ได้จนเพลินหรือแค่Emerจริงๆ

การคุมกำเนิดของมนุษย์โลกเรานั้นมีหลายวิธีเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็น การทำหมันหญิง ทำหมันชาย การใช้ถุงยางอนามัย การใช้ห่วงอนามัย การรับประทานยาคุมกำเนิด เป็นต้น

เมื่อโลกเราเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน วิวัฒนาการทางการแพทย์ก็พัฒนาไปด้วย
ในทุกวันนี้มีการพัฒนายาคุมกำเนิดในอีกรูปแบบหนึ่งคือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
วันนี้เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับยาคุมกำเนิดฉุกเฉินตัวนี้กันดีกว่านะคะ จะได้เลือกใช้อย่างถูกต้อง

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน คืออะไร
 ยาคุมฉุกเฉินหรือยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Pill)นั้น จัดว่าเป็๋นยาคุมประเภทหนึ่ง ที่มีข้อพึงใช้เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น  โดนข่มขืนแล้วผู้ร้ายหลั่งข้างใน หรือคู่สามีภรรยา คุมกำเนิดโดยถุงยางอนามัยแต่เกิดถุงยางแตก //รั่ว ลืมรับประทานยาคุมกำเนิด 2 วันติดกัน เป็นต้น

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน กินอย่างไร??
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน 1 แผง จะมียา 2เม็ด ซึ่งแต่ละเม็ดประกอบด้วยยาที่มีฮอร์โมน Levonorgestrel 750 microgram 

การรับประทานยาอย่างถูกต้องคือ 
- เม็ดแรก ต้องทานให้เร็วที่สุดคือ หลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมง
- เม็ดที่สอง ต้องทานหลังรับประทานเม็ดแรกไปแล้วไม่เกิน 12 ชั่วโมง
**หากเกิดมีการอาเจียน หลังรับประทานยาในแต่ละเม็ดไปแล้ว ต้องรับประทานยาไปใหม่ และห้าม!!รับประทานยาเกิน4 เม็ดต่อเดือนนะคะ

ถ้าหากเราจะรับประทานยาคุมฉุกเฉิน 2เม้ดในครั้งเดียวเลยได้หรือไม่?
คำตอบ คือ ได้ค่ะ เพียงแต่จะทำให้เกิดอาการอาเจียนมากกว่าการแบ่งรับประทานครั้งละเม็ด 2 ครั้งเองคะ

*** ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น ไม่ได้คุมกำเนิดได้ 100% นะคะ ป้องกันการคุมกำเนิดได้แค่ 75-90% เท่านั้นเอง  จะอย่างไรนั้น เราควรป้องกันด้วยวิธีอื่นด้วย และที่สำคัญ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์นะคะ




ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน



ที่มาของรุปภาพ : Google.com


Tuesday 3 July 2012

Bulemia...โรคทางจิตหรือคิดไปเอง

ใครๆก็อยากหุ่นดี หุ่นสวยงาม
บางคนอดอาหาร บางคนงดอาหาร
บางคนออกกำลังกาย บางคนทานยาลดน้ำหนัก
แต่...บางคน ถึงขั้นทานเข้าไปแล้วล้วงคอ เพื่อให้สิ่งที่เราทานเข้าไปนั้นออกมา - -"
ในวันนี้จะขอกล่าวถึงโรคBulemia(บูลีเมีย) นั่นเองคะ


Bulemia คืออะไร?
เป็นความผิดปกติของการรับประทานคะ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะแสดงอาการโดยการที่รับประทานอาหารเข้าไปในปริมาณมากๆ อยากอาหารทันทีแบบที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ ทำให้รับประทานอาหารมากเกินไป แล้วรู้สึกผิด อยากล้วงคอทำให้ตัวเองอาเจียนหรือทานยาถ่ายเพื่อระบายออกเพราะกลัวอ้วน นั่นเอง

สาเหตุของโรคบูลีเมีย ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือ การสร้างค่านิยมที่ผิดๆให้กับตัวเอง ในเรื่องของน้ำหนักตัว กลัวอ้วน และสาเหตุรองลงมา คือ ความเครียด//มีอาการซึมเศร้า//หรือมีความวิตกกังวลกับรูปร่างของตน กับน้ำหนักของตนเอง
**มักจะพบในวัยรุ่นและวัยทำงานอายุประมาณ20-30ปี

อาการของโรค
-ผู้ป่วยจะมีอาการควบคุมตนเอวไม่ได้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารหรือควบคุมการรับประทานอาหาร
-มีความกังวลในรูปร่างของตนเองมากเกินไป
-มีความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ทานเข้าไปแล้วล้วงคออ้วก เอาอาหารออกมา
-ประจำดือนขาด เนื่องจากร่างกายขาดสารอาหาร ทำให้เจริญเติบโตไม่เต็มที่
-เลือกรับประทานมากเกินไป เกินความพอดี
-หมกหมุ่นกับการออกกำลังกายเกินความพอดี
-ชั่งน้ำหนักของตัวเองบ่อยเกินความปกติ

การรักษา
*นำผู้ป่วยเข้าปปรับพฤติกรรม ปรับมุมมองของตนเองให้เหมาะสม
*ให้ผู้ป่วยเข้าเรียนรุ้เกี่ยวกับการรับโภชนาการที่เหมาะสม
*ในบางรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องใช้ยาระงับอาการซึมเศร้า

**โรคบูลิเมียเป็นโรคที่ทำอันตรายที่มีผลต่อการเสียชีวิตได้ อันเนื่องมาจากทำให้ระบบอาหารของร่างกายแปรปรวน ร่างกายไม่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ ดังนั้น เราจึงควรรับประทานอาหางอย่างพอดี ออกกำลังกาย และพอใจในสิ่งที่ตนเป็น มองโลกในแง่บวก เพียงแค่นี้ เราก็จะมีความสุขในการดำเนินชีวิตได้แล้วคะ


ล้วงคออ้วก




ที่มารูปภาพ : Google.com